ภาษาในชีวิตจริง : ทำไมการเรียนจากประสบการณ์ถึงสำคัญ

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ “เรียนภาษามานาน แต่พอถึงเวลาที่ต้องใช้จริงกลับพูดไม่ออก หรือฟังไม่เข้าใจ” แม้จะอ่านหนังสือมากแค่ไหน ทำข้อสอบได้คะแนนสูงเพียงใด ก็ยังรู้สึกว่าไม่เก่งพอ เพราะความจริงแล้ว การเรียนภาษาไม่ได้สิ้นสุดแค่ในห้องเรียน การท่องจำคำศัพท์หรือทำข้อสอบอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ จึงจะสามารถพัฒนาทักษะภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาทำความเข้าใจกับ ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือ Experimental Learning Theory (ELT)

ทฤษฎีนี้พัฒนาโดย เดวิด เอ. โคล์บ (David A. Kolb) ซึ่งอธิบายว่า “กระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำเอา ประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขึ้น”

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ลงมือทำจริง และนำประสบการณ์เหล่านั้นมาคิดต่อยอด ไม่ใช่อาศัยเพียงการท่องจำหรือการเรียนในห้องเรียนอย่างเดียว

Kolb เสนอ วงจรการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขอบคุณภาพจาก Life education Thailand
  1. Concrete Experience (ประสบการณ์ตรง) การลงมือทำหรือเผชิญสถานการณ์จริง เช่น คุยกับเจ้าของภาษา สั่งอาหารเป็นภาษาอังกฤษที่ร้านอาหาร
  2. Reflective Observation (การสะท้อนคิด) การทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น สังเกตว่าเราทำสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เช่น หลังจากพูดคุยกับเจ้าของภาษา ลองคิดดูว่าคำไหนเราพูดติดขัด หรือฟังอีกฝ่ายไม่เข้าใจเพราะอะไร คำศัพท์ยาก พูดเร็วเกินไป ลองพยายามตั้งคำถามเพื่อสะท้อนความคิด ความรู้สึก
  3. Abstract Conceptualization (การสรุปเป็นแนวคิด/ทฤษฎี) การเชื่อมโยงประสบการณ์กับความรู้ สร้างความเข้าใจหรือหลักการขึ้นมาผ่านประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ เช่น สังเกตแพทเทิร์นการพูดของเจ้าของภาษา จำได้ว่าเวลาสั่งอาหาร เขามักใช้รูป Can I have …, please?
  4. Active Experimentation (การทดลองใช้) นำสิ่งที่เรียนรู้ไปลองใช้ใหม่ในสถานการณ์จริง เพื่อดูผลและปรับปรุง เช่น รอบหน้าลองพูด “Can I have Sushi, please?” อย่างมั่นใจขึ้น

สรุปได้ว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์คือการ เรียนด้วยการลงมือทำ → คิดทบทวน → สร้างความเข้าใจ → ทดลองใช้ หากผู้เรียนได้เผชิญกับประสบการณ์ใหม่ๆ ก็จะเกิดการเรียนรู้เป็นวงจรซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง

วิธีการเรียนภาษาจากประสบการณ์

การเรียนภาษาจากประสบการณ์ คือการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติและรวดเร็ว ตัวอย่างวิธีการ ได้แก่

  • สื่อสารกับเจ้าของภาษา การพูดคุยกับชาวต่างชาติช่วยให้ฝึกพูดได้ต่อเนื่อง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และซึมซับสำเนียงที่ถูกต้อง ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้หาเพื่อนชาวต่างชาติได้ง่ายขึ้น เช่น HelloTalk
  • ฟังและพูดในสถานการณ์จริง การฟังเพลง ดูหนัง ข่าว พอดแคสต์ หรือสนทนากับผู้คนจะช่วยให้คุ้นเคยกับภาษา และนำไปใช้ได้จริง
  • กล้าพูดและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด อย่ากลัวที่จะพูดผิด พราะข้อผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่จะทำให้พัฒนาทักษะได้เร็วขึ้น
  • จดบันทึกคำศัพท์และสำนวนใหม่ๆ จดคำศัพท์และสำนวนที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ แล้วนำมาฝึกใช้ซ้ำในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้จำได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  • เดินทางหรือเรียนที่ต่างประเทศ การไปต่างประเทศจะทำให้มีโอกาสฝึกภาษาอย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้ภาษาในบริบทที่หลากหลาย 

แล้วการเรียนรู้ภาษาผ่านประสบการณ์ดีอย่างไร?

1. ภาษาไม่ใช่แค่ไวยากรณ์ แต่คือ “การสื่อสาร”

การท่องกฎไวยากรณ์และคำศัพท์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ในชีวิตจริงจุดประสงค์หลักของภาษา คือ การสื่อสารให้เข้าใจกัน แม้บางครั้งเราจะพูดผิด ผู้ฟังก็ยังเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อ นอกจากนี้ การได้ลองใช้ภาษาจริง เช่น การถามทาง การซื้อของ หรือการแชทกับเพื่อนต่างชาติ ทำให้เราได้สัมผัสการสื่อสารในชีวิตจริง ฝึกการฟัง การพูด สำเนียง และเข้าใจวัฒนธรรมไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะได้เร็วกว่าในห้องเรียน

2. ประสบการณ์ช่วยให้จำได้ยาวนานกว่า

การเรียนจากหนังสืออาจทำให้จำศัพท์ได้ชั่วคราว แต่ถ้าเราใช้คำที่เพิ่งเรียนมาในสถานการณ์จริง เช่น ใช้คำว่า ticket ตอนซื้อตั๋วรถไฟ หรือพูดว่า delicious ตอนชิมอาหาร สมองจะเชื่อมโยงคำศัพท์กับภาพ สถานการณ์ และความรู้สึกจริง ๆ จึงทำให้จำได้แม่นยำและยาวนาน ที่สำคัญยังช่วยให้เราได้เรียนรู้คำที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน

3. ฝึกความคล่องตัวและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

โลกความจริงไม่เหมือนในห้องเรียน เจ้าของภาษาอาจมีสำเนียงต่างกัน พูดเร็ว หรือใช้สำนวนแปลกๆ ที่เราไม่เคยเจอ การเรียนจากประสบการณ์ทำให้เราได้ฝึก การปรับตัว เช่น ฟังไม่ทันก็ขอให้พูดซ้ำ ใช้ท่าทางช่วยอธิบาย หรือเลือกใช้คำง่ายๆ แทน นี่คือทักษะที่ตำราไม่สามารถสอนได้ และยังทำให้เราคุ้นเคยกับภาษามากขึ้นเรื่อย ๆ

4. เพิ่มความมั่นใจและแรงบันดาลใจ

การที่เราสามารถสื่อสารได้จริง เช่น พูดกับนักท่องเที่ยวแล้วเขาเข้าใจ หรือสั่งอาหารในต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง ประสบการณ์เล็ก ๆ เหล่านี้สร้างความภูมิใจ สร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากพัฒนาภาษาต่อไป และเมื่อเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ลองผิดลองถูก เราก็จะใช้ภาษาได้อย่างมั่นใจและผิดพลาดน้อยลง


อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้มีได้หลายวิธี และแต่ละคนก็มีสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการลองทำไปเรื่อย ๆ เพื่อค้นหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง หวังว่าวิธีนี้จะเป็นแนวทางให้ทุกคนลองนำไปปรับใช้ได้ ไม่เพียงแค่กับการเรียนภาษา แต่รวมถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มาฝึกภาษาและพัฒนาตัวเองไปด้วยกันนะ✨

อ้างอิง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *