ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!

ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, ภาษาไทย, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!   สวัสดีจ้าทุกคน วันนี้ก็มาพบกับบล็อกของ Clearnote กันอีกแล้วนะ ช่วงสอบแบบนี้น้องๆ หลายคนอาจจะเบื่อๆ เหนื่อย ไม่มีแรงอ่านหนังสือ น้องๆ บางคนก็อาจจะหาเพลงมาเปิดระหว่างอ่านหนังสือ จะได้มีสมาธิอ่านหนังสือมากขึ้น แต่การฟังเพลงของอ่านหนังสือช่วยให้อ่านหนังสือรู้เรื่องขึ้นจริงรึเปล่านะ? บล็อก Clearnote ของเราวันนี้จะพาไปดูกัน! ตกลงฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นไหม?    การฟังเพลง (โดยเฉพาะเพลงที่ชอบ) ช่วยให้รู้สึกดีขึนจริง เพราะพอน้องๆ ฟังเพลงสมองจะหลั่งสารโดปามีนออกมา ช่วยให้มีความสุข รู้สึกผ่อนคลาย และช่วยให้รู้สึกเครียดน้อยลง   แต่เมื่อเราฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ สมองจะรับรู้ว่าเพลงไปด้วย ทำให้สมองแก้ปัญหาหรือเรียกสิ่งที่จำไว้ออกมาใช้ได้น้อยลง(อาการนึกไม่ค่อยออก) เพราะสมองกำลังประมวลผลเพลงที่เราฟังไปด้วยไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ (นึกถึง CPU คอมที่อาจจะร้อนๆ ค้างๆ ถ้าเราเปิดเกมหลายเกมพร้อมกัน)   เพราะฉะนั้นก็อาจพูดได้ว่า อ่านหนังสือแบบเงียบๆ อาจจะดีกว่าถ้าเทียบกับอ่านโดยเปิดเพลงไปด้วยนะ! (แต่อาจต้องใช้พลังใจในการอ่านมากหน่อย เพราะต้องพยายามไม่เบื่อ ไม่หลับ) แล้ว Mozart effect ล่ะ ตกลงเป็นเรื่องจริงรึเปล่า   Mozart effect หรือความคิดที่ว่าการฟังเพลงของ Mozart ช่วยให้ฉลาดขึ้น ช่วยให้เรียนดีขึ้น หรือคุณแม่ที่ท้องควรเปิดเพลงของ Mozart ให้เด็กฟัง จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี ฉลาดขึ้นนั่นเอง   แล้วเจ้า Mozart effect นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?   คำตอบ คือ ไม่จริงจ้า (แป่ว) การฟังเพลงของ Mozart หรือเพลงคลาสสิคไม่ได้มีประโยชน์มากกว่าเพลงของศิลปินคนอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญอะไรเลย ประโยชน์ก็เหมือนกับเพลงอื่นๆ ทั่วไปคือช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นเฉยๆ งั้นฟังเพลงตอนไหนถึงจะดี   ถึงแม้งานวิจัยจะบอกว่าการฟังเพลงระหว่างอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน จะทำให้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา (เช่น แก้โจทย์เลข) ลดลง และเรียกซึ่งที่จดจำไว้ออกมาใช้ได้น้อยลงทำ   แต่การฟังเพลงระหว่างช่วงพักเบรคก็ยังให้ผลดีอยู่นะ เพราะทำให้สมองหลั่งโดปามีนอย่างที่บอกไป ช่วยให้มีความสุข ผ่อนคลาย ช่วยเปลี่ยนอารมณ์ที่เบื่อๆ ง่วงๆ เพราะอ่านหนังสือได้ดีเลย ทำให้มีแรง มีไฟกลับมาอ่านหนังสือต่อได้ดีขึ้นกว่าพักเฉยๆ เบื่อๆ ถ้าอยากฟังเพลงตอนเรียน ควรฟังเพลงแบบไหน   ถ้าน้องๆ ยังอยากฟังเพลงตอนเรียน เพราะเบื่อไม่ไหวจริงๆ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cambridge บอกว่า น้องๆ ควรฟังเพลงช้า ใช้คอร์ดไมเนอร์ในเพลงและให้ความรู้สึกเศร้าๆ นิดหน่อย เช่น  prelude in E major ของ Chopin https://www.youtube.com/watch?v=CU9RgI9j7Do   นอกจากนี้เพลงไม่มีเนื้อร้องก็ไม่รบกวนสมาธิระหว่างอ่านหนังสือมากเท่ากับเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง แต่ถ้าน้องๆ ไม่ได้ชอบเพลงบรรเลงก็ไม่ต้องฝืนฟังนะ เดี๋ยวจะได้ผลตรงกันข้าม ถ้าน้องๆ ชอบเพลงที่มีคำร้อง อาจจะลองเปลี่ยนไปฟังเวอร์ชั่น off-vocal ดู ก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน ยังได้ฟังเพลงที่ชอบโดยไม่รบกวนสมาธิ   หรือถ้าไม่มีศิลปินที่ชอบเป็นพิเศษก็อาจลองค้นหาใน Youtube หรือ Spotify ว่า "Music for study" ดูก็อาจจะเจอเพลงที่เหมาะกับการเรียนก็ได้นะ!   สรุปแล้ว การฟังเพลงก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง อาจจะขึ้นอยู่กับตัวน้องๆ…
Read More
Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป

Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป

9วิชาสามัญ, English, GAT, GAT ENG, GAT/PAT, O-NET, PAT1, PAT2, PAT7, TCAS, Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค
  Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป          สวัสดีค่ะ น้อง ๆ ทุกคน ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ คนอาจเหนื่อย ๆ เพลีย ๆ เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลกัน  แต่บางครั้งคงรู้สึกกันว่าถึงอ่านหนังสือหนัก เรียนหนักแล้ว แต่เนื้อหาก็ไม่เข้าหัว เบลอ ๆ ไปทำข้อสอบ ทำสอบ คะแนนก็ไม่ดี ไม่คุ้มกับเวลาที่อ่านหนังสือไป           วันนี้ผู้เขียนเลยจะมาแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้น้อง ๆ อ่านหนังสือหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ล้าอีกต่อไป นั่นก็คือ Pomodoro Technique           Pomodoro Technique คืออะไร?           น้อง ๆ คุณผู้อ่านหลาย ๆ คนอาจไม่คุ้นชื่อกับPomodoro Technique ดังนั้นผู้เขียนขออธิบายที่มาที่ไปของเทคนิคนี้ง่าย ๆ ว่าเทคนิค Pomodoro เป็นเทคนิคการบริหารเวลาที่คิดค้นขึ้นมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อ Francesco Cirillo ซึ่งตอนนั้นเขาที่กำลังหาทางที่จะทำให้ตัวเองเรียนและทำงานให้เสร็จภายใต้เงื่อนไขเวลาที่จำกัด จนไอเดียก็มาปิ๊งตอนที่ Cirillo ได้เจอนาฬิกาจับเวลารูปมะเขือเทศที่ห้องครัว ทำให้ไป ๆ มา ๆ ก็เกิดเทคนิค Pomodoroนี้ขึ้นมา (Pomodoro แปลว่า มะเขือเทศ ในภาษาอิตาลี)           โดยเทคนิคPomodoro เป็นเทคนิคการบริหารเวลาที่จะแบ่งช่วงเวลาทำงานหรืออ่านหนังสือออกเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 25 นาที โดยในแต่ละช่วงจะมีช่วงพัก 5 นาที ซึ่งCirillo เชื่อว่าการทำแบบนี้จะทำให้สมองสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ล้าจนเกินไป           How to อ่านหนังสือด้วยเทคนิค Pomodoro           1. ให้เขียน list หนังสือ แบบฝึกหัด หรืองานที่เราต้องทำ           2. ตั้งนาฬิกาจับเวลา 25 นาที และระหว่างนั้นให้ตั้งใจอ่านหนังสือหรือทำงานตามแผนจนกว่าจะครบ 25 นาที ถือว่าจบ 1 เซ็ต           3. พัก 5 นาที (จะเดินไปดื่มน้ำ กินขนม เล่นกับน้องหมาน้องแมว หรือยืดเส้นยืดสายก็ได้ตามใจชอบ แต่ไม่แนะนำให้เล่นโซเชียลหรือเล่นเกม เพราะอาจยาว555)           4. กลับไปอ่านหนังสืออีก 25 นาที ทำวนข้อ2 3 ให้ครบ 4 เซ็ต           5. เมื่อครบ 4 เซ็ตแล้ว…
Read More
เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, รีวิว, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, สุขภาพและความงาม, แอป Clearnote
  พอเปิดหนังสือเรียนทีไรก็ง่วงตลอดเลย จะสอบแล้วแท้ๆ อุตส่าห์พยายามอ่านหนังสือ แต่หนังตาก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เคยประสบปัญหานี้กันไหมคะ?  วันนี้ Clearnote มีวิธีดีๆ ในการรับมือกับความง่วงมาแบ่งปันกันค่ะ ไปดูกันเลยย 1.งีบสักนิดก่อนเรียน   อาการง่วงระหว่างเรียน ส่วนใหญ่แล้วมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอ เผลอดูซีรี่ย์นานไปนิด รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากเสียแล้ว ในกรณีแบบนี้ การงีบเอาแรงสักนิดจะดีกว่าค่ะ การงีบจะทำให้สมองเราปลอดโปร่งขึ้น การเรียนก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ แต่อย่างไรตาม อยากให้ระวังเรื่องเวลากันไว้สักหน่อยนะคะ เพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ หากงีบนานเกินไปอาจจะง่วงกว่าเดิมเอาได้นะคะ 2. ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนดู   หากอ่านวิชาเดิมซ้ำไปมา สมองจะอ่อนล้าและหัวไม่แล่นเป็นที่แน่นอน ทำให้เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนตามมา ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนเช่น อ่านเนื้อหาที่เน้นความจำ (อังกฤษ, ไทย, สังคม เป็นต้น) จากนั้นผลัดมาทบทวนวิชาคำนวณ (คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น) ช่วยให้ง่วงน้อยลงได้ค่ะ 3. ล้างหน้า แปรงฟันเพิ่มความสดชื่น   ถ้าเริ่มรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วว ตาจะปิดแล้ว น้ำเย็นสดชื่อนอาจช่วยได้ค่ะ ลองลุกไปล้างหน้าดู ช่วยให้รู้สึกสดชื่น และหายง่วงขึ้นได้ค่ะ หรืออาจจะแปรงฟันด้วยหากมีเวลา เป็นวิธีที่ให้ผลดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ 4. เปลี่ยนที่เรียน   บางทีการเรียนในห้องตนเองอาจทำให้ตั้งสมาธิได้ยากขึ้น เพราะว่ามีสิ่งเร้าที่จะทำให้เราวอกแวกได้ง่ายนั่นเอง ลองย้ายไปเรียนในที่ ที่เหมาะสมกับการเรียนมากขึ้น จะช่วยให้เรามีสมาธิจดจ่อมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าตรงนั้นเป็นที่สำหรับเรียน เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วเราจะต้องเรียนนั่นเอง 5. ยืดเส้นยืดสาย   การนั่งเรียนเป็นเวลานานไป กล้ามเนื้อของเราก็ตึงตามไปด้วย ส่งผลให้เราง่วงขึ้นไปด้วยค่ะ เราอาจพักระหว่างเรียนมายืดเส้นยืดสายกันซักนิด ให้เลือดได้ไหลเวียน อาจเดินไปเดินมาในห้อง หรือยืดหลังง่ายๆ เป็นต้น ทำให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้นค่ะ 6. พูดคุย หรือถามคำถาม   การเรียนเงียบๆ คนเดียว ทำให้เกิดอาการง่วงได้ง่ายใช่ไหมล่ะคะ ลองหาเพื่อนเรียนด้วยกัน ทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไปด้วยกัน หรือหากมีอาจารย์อยู่ด้วย ก็ลองถามคำถามดูบ้าง การได้ส่งเสียงออกมาทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นค่ะ ไม่ง่วงแน่นอนน   วิธีเหล่านี้น่าจะทำให้ทุกคนหายง่วงระหว่างเรียนกันได้นะคะ แต่อย่างไรก็ตาม การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เมื่อร่างกายเราแข็งแรงพร้อมต่อการเรียน การเรียนรู้ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ Clearnote เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ Reference ข้อมูลจาก https://www.eikoh-seminar.com/koukoujuken/column/p7184/
Read More
จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ

จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, TCAS, Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ   เคยเป็นกันไหม?   จดโน้ตไม่ทันที่อาจารย์พูด หรือจดแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่สวยไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้ว่าตัวเองจดอะไร ทำเอาไม่อยากอ่านโน้ตที่ตัวเองจดไว้เลย...   เชื่อว่าน้องๆ หลายคนอาจจะเคยเจอปัญหาแบบนี้(เพราะคนเขียนก็เคยเป็นบ่อยๆ) แถมช่วงนี้เป็นช่วงสอบปลายภาคอันแสนน่าปวดหัว วันนี้ Clearnote เลยขอแนะนำ 5 วิธีจดโน้ตให้สวยปัง เป็นระเบียบน่าอ่าน เตรียมพร้อมสอบให้น้องๆ ได้นำไปใช้กันได้เลย! 1.วิธีจดโน้ตแบบ Cornell (The Cornell Method)   วิธีจดโน้ตแบบ Cornell เป็นวิธีจดโน้ตที่พัฒนาขึ้นโดย Dr.Walter Pauk หัวหน้าศูนย์การเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย Cornell สหรัฐอเมริกา   วิธีการจดโน้ตแบบ Cornell เริ่มจากการแบ่งหน้ากระดาษของน้องๆ เป็น 3 ส่วน ด้านซ้ายของหน้ากระดาษ: แบ่งเป็นพื้นที่ยาวๆ จนเกือบสุดหน้ากระดาษ ส่วนนี้เอาไว้จด​ Keyword ของเนื้อหาด้านขวาของหน้ากระดาษ: แบ่งเป็นพื้นที่ยาวๆ จนเกือบสุดหน้ากระดาษเช่นกัน แต่ให้กว้างกว่าด้านซ้ายประมาณ 2 เท่า (สัดส่วนประมาณ 2/3) ส่วนนี้เอาไว้จดเนื้อหาตอนเรียนในคาบท้ายหน้ากระดาษ: ส่วนท้ายของหน้ากระดาษ เอาให้เขียนได้ประมาณหนึ่ง (3-4 บรรทัด) ส่วนนี้เอาไว้สรุปเนื้อหาในส่วนด้านขวาอย่างสั้นๆ   เวลาที่เราเรียนในคาบ ให้จดเนื้อหาที่อาจารย์สอนลงในด้านขวาของกระดาษ จากนั้นให้เราทวนเนื้อหาให้เข้าใจ จากนั้นเขียน Keyword ของเนื้อหาในด้านขวาลงในช่องด้านซ้าย จากนั้นเวลาจะทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปอีก ก็ให้ใช้กระดาษหรือสมุดอะไรก็ได้มาบังด้านขวาของกระดาษเอาไว้ ให้เห็นแต่เพียง Keyword ฝั่งซ้าย แล้วก็พยายามพูด อธิบายเนื้อหาในหน้ากระดาษฝั่งขวาเอาไว้เท่าที่ทำได้ ถ้ายังจำไม่ได้ก็ลองอ่านเนื้อหาฝั่งขวาอีกรอบ วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจำได้ สุดท้ายก็จดสรุปสั้นๆ ลงในช่องท้ายหน้ากระดาษ   วิธีการจดโน้ตแบบนี้จะเหมาะกับน้องๆ ที่ต้องจดโน้ตในห้องเรียน แล้วอยากกลับมาทบทวนทีหลังได้ง่ายๆ มีระเบียบ สวยงาม ไม่งง https://www.youtube.com/watch?v=Qyj6ZeL-eHc 2.วิธีจดโน้ตแบบเป็นประโยค (The Sentence Method)   วิธีการจดโน้ตแบบเป็นประโยคคือการจดโน้ตแบบเป็นข้อๆ ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ไปเรื่อยๆ โดยแต่ละข้ออยู่ในลักษณะประโยคสั้นๆ ที่มีใจความหลักเพียงอย่างเดียว ขอบคุณข้อมูลเรื่องดวงอาทิตย์จาก สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เรื่องที่ 1 ดวงอาทิตย์ สำหรับเด็กระดับกลาง   วิธีการจดโน้ตแบบเป็นประโยคทำให้เราอ่านโน้ตได้ง่ายกว่าการจดเป็นย่อหน้า เพราะแต่ละข้อจะมีเลขข้อแบ่งย่อยๆ ตลอด และมีแค่ใจความหลักแค่หนึ่งเดียว ทำให้จับใจความได้ง่ายกว่าและไม่สับสน   แต่วิธีจดแบบนี้ก็มีข้อเสียคือ แยกได้ค่อนข้างลำบากว่าข้อไหนเป็นหัวข้อใหญ่หรือหัวข้อย่อย และเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างไร อาจทำให้ทบทวนยากในบางกรณี   วิธีนี้เหมาะกับเวลาที่อาจารย์พูดเร็วมากๆ แต่เนื้อหาที่พูดค่อนข้างเป็นระเบียบอยู่แล้ว ไม่ได้กระโดดข้ามไปมาหรือเปลี่ยนหัวข้อกลางทางกระทันหัน หากใช้วิธีนี้ก็จะทำให้เราจดตามอาจารย์ทัน 3.วิธีจดโน้ตโดยใช้Outline (The Outlining Method)   วิธีจดโน้ตโดยใช้ Outline คือการจดโดยที่ - หรือ dash หรือตัวอักษร ตัวเลขเพื่อบอกว่าอะไรคือหัวข้อ โดยจดให้หัวข้อใหญ่ด้านบนซ้ายสุด…
Read More

แชร์เคล็ดลับกับการสอบ Open book

Uncategorized
สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ ยังไงช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่น้อง ๆ ทุกคนมักจะมีการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์และที่สำคัญไปกว่านั้นส่วนใหญ่แล้วรูปแบบการสอบในช่วงนี้ก็จะเป็นในรูปแบบของออนไลน์ไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วจึงบอกได้เลยว่าน้อง ๆ ส่วนใหญ่กำลังชะล่าใจไม่ยอมอ่านหนังสือเพราะเชื่อว่าอย่างไรอาจารย์ก็คงจะให้สอบแบบ Open book อยู่ดี หลาย ๆ คนเลยเลือกที่จะไม่จำเนื้อหาต่าง ๆ ให้ปวดหัวและไปหวังพึ่งความเร็วในการเปิดหนังสือแทน แต่ก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะคะว่าสิ่งที่น้อง ๆ ชะล่าใจกันอยู่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย  สำหรับบทความนี้เราก็จะพาทุก ๆ คนไปดูกันว่า การทำข้อสอบแบบ Open book นั้นมีเทคนิคอย่างไรกันบ้าง และมีความแตกต่างจากการสอบในรูปแบบปกติอย่างไรกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ การสอบแบบ Open book คืออะไร การสอบแบบ Open book ถ้าแปลแบบตรงตัวก็คือการสอบแบบสามารถเปิดหนังสือได้ในระหว่างการสอบ พ่ออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนก็คงจะคิดว่าการสอบแบบ Open book นั้นง่ายเพราะว่าไม่ต้องจำเนื้อหาอะไรมากแต่แท้จริงแล้วการสอบแบบ Open book นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจนะคะเพราะว่าในความเป็นจริงแล้วมันยากกว่าการสอบแบบปิดหนังสือเรียนเสียอีกค่ะ เพราะส่วนมากแล้วข้อสอบแบบ Open book นั้นจะเป็นข้อสอบที่วัดความเข้าใจของตัวผู้เรียนเป็นหลัก ตัวโจทย์ส่วนมากก็เลยมีแนวโน้มที่จะเน้นการวิเคราะห์ของตัวผู้เรียนไปด้วย แล้วยิ่งไปกว่านั้นเองหากเราหวังว่าเราจะดวงดีสามารถเปิดหาคำตอบของคำถามได้ภายในระยะเวลาตอบสั้นๆนั้นขอบอกได้เลยว่าคิดผิดค่ะ เพราะโดยส่วนมากแล้วหนังสือและตำราเรียนส่วนมากก็จะมีจำนวนหน้าประมาณ 200-300 หน้าโดยเฉลี่ยอยู่แล้วหากเราไม่ได้ทำความคุ้นชินกับหนังสืออย่างดีพอเราก็จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าคำตอบของสิ่งที่โจทย์ถามนั้นอยู่ส่วนไหนของหนังสือค่ะ ดังนั้นวันนี้ดิฉันจึงขอมาแชร์เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบแบบ Open book ให้กับน้องๆได้ฟังและได้นำไปปรับใช้กันดูนะคะ  เคล็ดลับที่ 1 ต้องอ่านตัวบทให้จบ ก่อนวันสอบ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เลยที่ไหลคนชล่าใจในช่วงสอบนะคะซึ่งก็คือการละเลยไม่อ่านหนังสือในช่วงสอบข้อคิดว่าอย่างไรก็ตามที่ครูให้เปิดหนังสือแล้วก็สามารถหาคำตอบได้จากหนังสือที่เรามีตรงหน้าได้อยู่แล้วแต่ขอบอกเลยนะคะว่าในการสอบนั้นเรื่องเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะส่วนมากแล้วการสอบต่าง ๆ มักจะกำหนดเวลามาไม่เกินชั่วโมงอยู่แล้วและถ้าเกิดว่าเราทำส่งไม่ทันก็อาจจะต้องได้คะแนนน้อยหรือตกวิชานั้นไปเลยนะคะ เพราะฉะนั้น เราควรใช้เวลาที่เรามีจากการเรียนออนไลน์มานั่งอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนโดยควรที่จะทำสรุปไปพลางกับการอ่านหนังสือนั้น ๆ ด้วย หรือถ้าบางคนรู้สึกขี้เกียจมากก็อาจจะใช้วิธีการไฮไลท์หรือแปะโพสอิทหาสาระสำคัญเฉพาะหน้าที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความสำคัญก็ได้ค่ะ  เพื่อให้เราพอที่จะรู้ว่าสาระสำคัญของเนื้อหาบทนี้อยู่ที่นั่นนี้นั่นเองค่ะเวลาที่เราจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหานั้นๆจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเปิดหากันจ้าละหวั่นนั่นเองค่ะ เคล็ดลับที่ 2 ทำสารบัญแยกสำหรับเนื้อหาสำคัญ เมื่อเราอ่านตัวตำราของเราเสร็จแล้วระหว่างนั้นเราก็ควรที่จะทำสารบัญแยกว่าเนื้อหาสำคัญที่น่าจะออกข้อสอบนั้นอยู่ที่ด้านในของตัวหนังสือบ้างและทำการจดโน๊ตลงไปเช่น หน้าที่ของพืช…หน้า 3,6,9 และอาจจด Keyword สำคัญคร่าว ๆ ลงบน สารบัญนั้นๆด้วยก็ได้ค่ะเผื่อหลายคนลืมว่าแต่ละเรื่องมีสิ่งสำคัญอะไรบ้าง การที่ทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่มีความสำคัญได้อย่างเป็นระบบและช่วยประหยัดเวลาในการหาเนื้อหาระหว่างสอบได้อีกด้วยนั่นเองค่ะ เคล็ดลับที่ 3 ควบคุมเวลาการเปิดหนังสือ อย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่าในการสอบแบบ Open book นั้นมักจะมีเวลาที่ค่อนข้างจำกัดในการสอบทำให้นักเรียนหลายคนทำข้อสอบไม่ทันและอาจไม่สามารถส่งข้อสอบได้ตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้แล้วอย่าลืมนะคะว่าการส่งข้อสอบออนไลน์นั้นเราต้องเผื่อเวลาเผื่อความผิดพลาดหรือปัญหาทางเทคนิคอื่น ๆ อีกเช่นสัญญาณเน็ต หรือคอมค้าง ดังนั้นขอแนะนำให้ทุกคนนะคะว่าควรที่จะมีนาฬิกาจับเวลาไว้ข้าง ๆ ตัวตอนสอบอยู่เสมอและเผื่อเวลาสักประมาณ 15 นาทีในการตรวจทานคำตอบและจัดเตรียมไฟล์ในการส่งข้อสอบค่ะ  เคล็ดลับที่ 4 เตรียมเนื้อหาที่นอกเหนือจากหนังสือ อันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะก็คือว่าในเมื่อเราพอจะเกรงแนวข้อสอบได้แล้วว่าอาจารย์จะออกข้อสอบประมาณไหนเราก็ควรที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่เราเรียนไปด้วยนั่นเองค่ะเพื่อแสดงว่าเรามีความทุ่มเทและความพยายามต่อการเรียนมากเพียงไหนเราจึงควรที่จะเตรียมเนื้อหาสำรองไปตอบในข้อสอบด้วยก็ได้ค่ะ แต่เราจะต้องแน่ใจนะคะว่าเนื้อหานอกห้องเรียนที่เราต่อไปนั้นมีความสอดคล้องและไม่ไปขัดแย้งกันเองกับตัวเนื้อหาที่อยู่บนตำราเรียนของเราค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับบทความนี้ หวังว่าทุก ๆ คนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการสอบแบบ Open book ไปไม่มากก็น้อยและสำหรับการสอบกลางภาคและปลายภาคนี้ก็ขออวยพรให้ทุกๆคนทำข้อสอบได้อย่าง ที่ได้เตรียมตัวมาและได้คะแนนตามที่ใฝ่ฝันนะคะสำหรับวันนี้ทางเราก็อยากจะฝากไว้เพียงเท่านี้ขอบคุณค่ะแล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า
Read More
จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!

จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!

Uncategorized, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!   น้องๆ สงสัยกันไหม จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง วันนี้ Clearnote จะมาชี้แจ้งแถลงไขประโยชน์ของการจดโน้ตให้น้องๆ ได้รู้กันเอง! 1.ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่อง   การจดโน้ตช่วยให้น้องๆ ต้องตั้งใจฟังคุณครูโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าจะจดโน้ตก็ต้องทำความเข้า กลั่นกรอง สิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อจะจด เพราะน้องๆ คงไม่สามารถจดคำพูดทุกคำที่อาจารย์พูดได้ทัน และต่อให้จดทัน ก็มีงานวิจัยบอกว่าการที่น้องๆ ได้คิดวิเคราะห์เนื้อหาก่อนที่จะจดลงไป ไม่จดทุกคำพูดที่อาจารย์พูดนั้นให้ผลดีกว่า!    นอกจากนี้การจดโน้ตยังทำให้น้องๆ ไม่พลาดข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์สอนและอาจจำได้ไม่หมดถ้าไม่จดไว้ การจดโน้ตจึงทำให้เรียนรู้เรื่องมากกว่าการนั่งฟังครูอธิบายผ่านไปเฉยๆ มาก 2.ช่วยให้เรามาทวนทีหลังได้   การจดโน้ตไม่ได้มีประโยชน์แต่ตอนที่จดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กลับมาทวนเนื้อหาทีหลังได้โดยไม่ลืม การจดโน้ตจะทำให้น้องๆ กลับมาทวนเนื้อหาที่อาจารย์สอนเมื่อไรก็ได้ กี่รอบก็ได้ แถมทวนได้ง่ายกว่าด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือใหม่ทั้งเล่มตลอดเวลา   ที่สำคัญจากผลการวิจัย การจดโน้ตจะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการทวนซ้ำๆ ย้ำๆ หลายๆ รอบเท่านั้น น้องๆ จึงควรทบทวนโน้ตที่จดไว้ให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ไม่ใช่แค่จดแล้วเก็บเข้ากรุเฉยๆ!   นอกจากนี้งานวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า ไม่ใช่แค่การจดโน้ตเท่านั้น แต่การไฮไลท์ และการเขียนทวนสิ่งที่เคยเรียนแล้วอีกรอบ ก็จะช่วยให้น้องๆ คิด วิเคราะห์ และทำความเข้าใจสิ่งที่เราเรียนมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรทำทั้ง 3 อย่างเลย จะได้จำได้แม่น แถมเอามาใช้ได้จริง! 3.ช่วยให้เราจดจำเนื้อหาได้ดีกว่า   การจดโน้ตแบบที่ใช้ลูกศร รูปร่างรูปทรงต่างๆ ช่วย เช่น Mind maping ทำให้ให้สิ่งที่เราจด อยู่ใน long term memory (ความทรงจำระยะยาว) ได้ดีกว่า   การจดโน้ตต้องอาศัยความพยายามในการจด ไม่ใช่แค่ฟังหรืออ่านให้ผ่านไปเฉยๆ  นอกจากนี้การมีรูป มีลูกศร ในโน้ตยังช่วยแสดงความสัมพันธ์ แสดงคอนเซ็ปต์ของเนื้อหาให้อยู่ในลักษณะที่เป็นภาพ ทำให้สิ่งที่เราเรียนเข้าไปอยู่ในสมองทั้งในลักษณะคำศัพท์และรูป ช่วยให้น้องๆ ดึงสิ่งที่เรียนจากความทรงจำระยะยาวได้ดีกว่า ทำให้ไม่ลืมสิ่งที่เรียนไปง่ายๆ 4.ช่วยให้เราคิดเรื่องซับซ้อนได้มากขึ้น   การจดโน้ตช่วยแบ่งเบาภาระของ working memory (ความทรงจำเพื่อใช้งาน) ซึ่งเป็นความทรงจำระยะสั้นๆ ระยะเวลาหนึ่ง เช่น การจดจำที่อยู่ขณะที่คิดว่าจะไปที่นั่นได้ยังไงเป็นต้น    การจดโน้ตทำให้เราไม่ต้องจดจำสิ่งที่เรียนทั้งหมดทุกอย่างภายในคราวเดียว จึงช่วยแบ่งเบาภาระของ working memory ตรงนี้ จึงช่วยให้เราคิดเรื่องซับซ้อนขึ้นได้ดีกว่าเดิม เช่น แก้โจทย์เลขยากๆ ซับซ้อนๆ เพราะไม่ต้องแบกข้อมูลไว้ในสมองจำนวนมาก 5.ช่วยให้ชีวิตมีระเบียบมากขึ้น   การจดโน้ตไม่ใช่จำกัดแค่การจดโน้ตตอนเรียนเท่านั้น แต่การจดโน้ตสิ่งที่เราจะทำหรือ to-do list ยังช่วยให้น้องๆ ไม่ลืมสิ่งที่เราจะต้องทำ ไม่ลืมว่าต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง วางแผนชีวิตได้ มีชีวิตที่มีระเบียบมากขึ้นกว่าการไม่จดโน้ตอีกด้วยนะ    การจดโน้ตมีประโยชน์มากมายจริงๆ เพราะฉะนั้นตอนเรียนก็ไม่ควรฟังอาจารย์แบบผ่านๆ แต่ควรจะจดโน้ตสิ่งที่น้องๆ ได้เรียนไว้ด้วยนะ เพราะจะทำให้เก็บเกี่ยวความรู้ได้มากกว่ากันเยอะเลย!!! Reference Boch, F. & Piolat, A. (2005). Note Taking and Learning: A…
Read More
เจาะลึก 5 อาชีพ! ตามหาเส้นทางในอนาคตผ่านอนิเมะญี่ปุ่น!

เจาะลึก 5 อาชีพ! ตามหาเส้นทางในอนาคตผ่านอนิเมะญี่ปุ่น!

Uncategorized, รีวิว, อาชีพ
เจาะลึก 5 อาชีพ! ตามหาเส้นทางในอนาคตผ่านอนิเมะญี่ปุ่น!   สวัสดีจ้า น้องๆ ผู้อ่านที่น่ารักทุกคน เรื่องเส้นทางอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญมาก น้องๆ บางคนอาจหาตัวเองจนเจอและตัดสินใจเลือกอนาคตของตัวเองไว้แล้ว แต่ก็ยังมีน้องๆ บางคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ยังกังวลและลังเล เพราะไม่รู้ว่าแต่ละอาชีพเขาทำอะไรกันแน่ เลือกไปแล้วเราจะชอบไหม จะทำได้ไหม ไม่แน่ใจตัวเอง   แต่!   ก็ขอให้น้องๆ ไม่ต้องหนักใจไป เพราะวันนี้ CLEARNOTE มีตัวช่วยมาให้น้องๆ ค้นหาตัวเองอย่างไม่น่าเบื่อ เพราะบล็อกของเราวันนี้จะมาแนะนำ 5 อนิเมะที่นำเสนอเกี่ยวกับ 5 อาชีพต่างๆ ที่น่าสนใจกัน พี่เชื่อว่าต้องช่วยน้องๆ ผู้อ่านตัดสินใจได้บ้างแน่ๆ   ว่าแล้วเราก็ไปดูกันเลย! 1.คุณครู: GTO คุณครูพันธุ์หายาก ขอบคุณรูปภาพจาก:https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Great_Teacher_Onizuka_episodes   GTO คุณครูพันธุ์หายาก (great teacher Onizuka) เป็นเรื่องของ โอนิซึกะ เอคิจิ หนุ่มนักเลงที่มีความฝันว่าอยากจะเป็นครู จึงได้มาฝึกสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง โอนิซึกะ ต้องเจอกับปัญหาและเรื่องราวมากมายของนักเรียนในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่ส่วนมากเบือนหน้าหนี   อนิเมะเรื่องนี้จะทำให้น้องๆ เห็นว่าเป็นคุณครูแล้วต้องเจออะไร แล้วนอกจากสอนหนังสือแล้วคุณครูต้องทำอะไรบ้าง ปัญหาต่างๆ ที่คุณครูต้องเจอเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ความคิดไม่ตรงกันกับคุณครูคนอื่น นักเรียนที่มีปัญหา (แม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างของโอนิซึกะจะไม่ควรลอกเลียนแบบก็ตาม) 2.ข้าราชการ: Servant x Sevice ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.servantservice.org/   อาชีพข้าราชการดูเหมือนเป็นอาชีพที่ธรรมดาๆ พบเห็นได้ทั่วไป แต่น้องๆ หลายคนอาจยังคิดไม่ออกว่าจริงๆ แล้วข้าราชการเขาทำอะไร ทำงานกันแบบไหนกันแน่ อนิเมะเรื่อง Servant x Service จะพาน้องๆ ไปรู้จักกับอาชีพนี้เอง!    Servant x Service เป็นเรื่องของ ยามากามิ ลูซี่ ที่เพิ่งเรียนจบและได้เข้าทำงานในสำนักงานเขตแห่งหนึ่งในฮอกไกโด พร้อมๆ กับตัวละครเอกอีกสองคนคือ มิโยชิ ซายะ และ ฮาเซเบะ ยูทากะ เรื่องป่วนๆ ในสำนักงานเขตจึงได้เริ่มต้นขึ้น! ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.servantservice.org/    อนิเมะเรื่องนี้จึงจะเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ที่ลูซี่ ตัวเอกของเรื่องนี้เริ่มเข้าทำงาน น้องๆ จึงจะได้เห็นว่าเข้าทำงานแล้วเป็นอย่างไร ในสำนักงานเขตแบ่งเป็นแผนกอะไรบ้าง แล้วปกติข้าราชการทำงานกันยังไงบ้าง มีคนแบบไหนมารับบริการที่สำนักงานเขตด้วยเรื่องอะไรบ้างด้วย (แน่นอนว่าวิธีการทำงานของข้าราชการไทยกับญี่ปุ่นอาจแตกต่างกันบ้าง) ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.servantservice.org/ 3.นักเขียนการ์ตูน: Bakuman ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.nhk.or.jp/anime/bakuman/index.html   เรื่องของเด็กมัธยมปลายสองคน ทาคากิ อาคิโตะ และ มาชิโร่ โมริทากะ ที่มีความฝันจะเป็นนักเขียนการ์ตูนอาชีพ พวกเขาจึงร่วมมือกันเขียนเขียนการ์ตูนขึ้น!   Bakuman จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ตัวละครเอกทั้งสองคนอยู่มัธยมปลาย และจุดเริ่มต้นที่ตั้งสองคนเริ่มมาเขียนการ์ตูน อาชีพนักเขียนการ์ตูนเป็นยังไง จะเขียนการ์ตูนต้องเริ่มต้นยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรวาดการ์ตูน เนมคืออะไร ต้องทำอย่างไรการ์ตูนจึงได้ตีพิมพ์และกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง อะไรคือตัวตัดสิน ปัญหาต่างๆ ที่นักเขียนการ์ตูนต้องเจอ  ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.nhk.or.jp/anime/bakuman/3rd/story/08.html   ถึงแม้ว่าในประเทศไทย…
Read More

เรียนต่อประเทศญี่ปุ่นช่วง COVID-19

Uncategorized
แผนชีวิตของใครหลาย ๆ คนมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สำหรับนักเรียนมัธยมปลายบางคน ก็อาจจะต้องยกเลิกแผนการไปเรียนต่อต่างประเทศในญี่ปุ่น… แต่เราหวังว่านักเรียนทุกคนที่อยากจะศึกษาต่อในต่างประเทศในญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะได้สานฝันนั้นค่ะ! ในบทความนี้เราจะช่วยชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับคำถามต่อไปนี้เกี่ยวกับการศึกษาในต่างประเทศในญี่ปุ่น: 1.เรายังสมัครเรียนต่อต่างประเทศในญี่ปุ่นสำหรับปีการศึกษา 2564 ได้ไหม2.มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นจัดการกับสถานการณ์ COVID-19 อย่างไร3.สถานการณ์ COVID-19 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเป็นอย่างไรหวังว่าการตอบคำถามเหล่านี้จะช่วยให้น้อง ๆ มีความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนต่อญี่ปุ่นในช่วงนี้ได้นะคะ! 1.เรายังสมัครเรียนต่อต่างประเทศในญี่ปุ่นสำหรับปีการศึกษา 2564 ได้ไหม คำตอบของคำถามนี้คือ ได้แน่นอนค่ะ! เนื่องจากการเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเป็นออนไลน์ การศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นจึงไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการเดินทางอีกต่อไปค่ะ! รายชื่อข้างล่างนี้คือมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งในญี่ปุ่นและนโยบายการรับสมัครระหว่างประเทศสำหรับปีการศึกษา 2564-2565 ในช่วงนี้ มหาวิทยาลัยโตเกียว (โปรแกรม PEAK)สถานะ: เปิดรับสมัครการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า: ขั้นตอนการสมัครทั้งหมดจะจัดขึ้นทางออนไลน์ รวมถึงการสัมภาษณ์ด้วยระยะเวลาส่งใบสมัคร:[รอบแรก] 7 ธันวาคม 2563 - 7 มกราคม 2564[รอบที่สอง] กุมภาพันธ์ 2564 - มีนาคม 2564แนวทางอย่างเป็นทางการ: [PEAK] มหาวิทยาลัยเคโอ (โปรแกรม PEARL และ GIGA)สถานะ: เปิดรับสมัครการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า:[PEARL] ไม่จำเป็นต้องเขียนเรียงความ หรือ SAT/ACT[GIGA] การสอบ Winter AO 2564 ไม่มีการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวระยะเวลาส่งใบสมัคร:[PEARL] มีระยะเวลาการสมัครสามช่วง ระยะแรกเริ่มในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 และช่วงที่สามสิ้นสุดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564[GIGA] ใบสมัครออนไลน์ครบกำหนด 5 กุมภาพันธ์ 2564 และ ส่งเอกสารครบกำหนด 12 กุมภาพันธ์ 2564หลักเกณฑ์อย่างเป็นทางการ: [PEARL] และ [GIGA] มหาวิทยาลัยวาเซดะ (หลักสูตรระดับปริญญาตรีที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก)สถานะ: เปิดรับสมัครการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า: การเลื่อนการยื่นคะแนนสอบ (ขึ้นอยู่กับสาขา หลักสูตรระดับภาษาอังกฤษจะอนุญาตให้เลื่อนหรือละเว้นการยื่นคะแนนสอบมาตรฐาน/คะแนนสอบเข้าจากการสมัคร) อย่างไรก็ตามจะต้องส่งหลักฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ เช่น iBT TOEFL Special Home Editions, Duolingo หรือการทดสอบมาตรฐานที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักระยะเวลาการส่งใบสมัคร: แม้ว่าระยะเวลาการสมัครจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขา แต่การยื่นคำร้องส่วนใหญ่จะปิดในปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564รายละเอียดเพิ่มเติม:[รัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์][สังคมศาสตร์] International Christian University (หลักสูตรภาษาอังกฤษ)สถานะ: เปิดรับสมัครการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า:การสอบเรียงความและสัมภาษณ์ (สำหรับนักเรียนที่ไม่สามารถสอบ SAT/ACT ได้ สำนักงานรับสมัครจะรับเรียงความทางเลือกและตัวเลือกการสัมภาษณ์ออนไลน์)IELTS Indicator หรือ TOEFL iBT Special Home Edition เป็นหลักฐานแสดงความสามารถทางภาษาอังกฤษระยะเวลาส่งใบสมัคร:[ช่วงการสมัครช่วงแรก] 6 มกราคม 2564 - 25 มกราคม 2564[ช่วงการสมัครช่วงที่สอง] 12 กุมภาพันธ์ 2564 - 2 มีนาคม…
Read More
วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นสุดเริ่ด ก่อนไปเรียนต่อญี่ปุ่น

วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นสุดเริ่ด ก่อนไปเรียนต่อญี่ปุ่น

Uncategorized, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, ภาษาญี่ปุ่น, เรียนภาษาญี่ปุ่น
วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นสุดเริ่ด ก่อนไปเรียนต่อญี่ปุ่น โดย Janessa Roque   เริ่มก่อนได้เปรียบ! มาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นกันก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่นดีกว่า Janessa Roque นักศึกษาฝึกงานจาก SchoolLynk media เธอคนนี้มีดีกรีนักศึกษาปริญญาเอกจากโตเกียวแถมพ่วงด้วยตำแหน่งอาจารย์ จะมาบอกเคล็ดลับการเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เริ่ดสุด น้องๆ นักเรียนและคนที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองเตรียมตัวอ่านต่อกันได้เลย!   ตอนที่เพิ่งย้ายมาอยู่โตเกียว ตัวเราโชคดีที่มีเพื่อนหลายๆ คนอาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว มาช่วยให้เราตั้งหลักได้ แถมยังได้รู้คำทักทายภาษาญี่ปุ่น ประโยคภาษาญี่ปุ่นที่ใช้บ่อยๆ ภาษาปากต่างๆ มากมายจากพวกเพื่อนๆ อีกด้วย   แต่ก็มีเพื่อนๆ หลายคนเหมือนกันที่มาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นทั้งๆ ที่แทบจะไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นเลยเหมือนกัน   มันก็เข้าใจได้ เพราะพวกเราส่วนใหญ่เรียนหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ถึงเราจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเวลาเรียน ภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานกับคำทักทายในชีวิตประจำวันก็ยังสำคัญอยู่ดี ถ้าเตรียมตัวมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เช่น การอ่าน-เขียน ตัวฮิรางานะ คาตาคานะ (เรียกรวมๆ ว่าตัวอักษรคานะ) ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ช่วยได้มากแล้ว ถ้าฝึกบ่อยๆ สัก 2-3 อาทิตย์ ก็น่าจะพอจะอ่านเขียนได้แล้ว   ถึงน้องๆ จะเขียนหรืออ่านได้ช้ามากๆ ก็ไม่เป็นไรเลย เป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะน้องๆ กำลังอยู่ในช่วงจดจำคำศัพท์ใหม่อยู่ เลยจะยังเดาไม่ได้ว่าแต่ละคำอ่านว่ายังไง ก็เลยอ่านได้ช้า ในภาษาแม่ถ้าเราเจอคำใหม่ที่เราไม่รู้จักมาก่อน หรือเราอ่านหนังสือที่เก่ามากๆ อ่านข้อความที่ซับซ้อน มีคำยาวๆ มีวลีที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน เราก็จะอ่านได้ช้าแบบนี้เหมือนกัน ที่สำคัญกว่าคือถ้าน้องๆ อ่านตัวอักษรคานะได้ น้องๆ ก็ใกล้จะเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเวลามาเรียนที่ญี่ปุ่นขึ้นอีกหนึ่งเสต็ปแล้วนะ   ไม่ใช่แค่นั้นนะ ถ้าน้องๆ อ่านเขียนตัวคานะได้ ก็จะหาเพื่อนได้ง่ายขึ้น แล้วก็เข้าถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้มากกว่าด้วย ทำให้การมาเรียนต่อขอน้องๆ เต็มไปด้วยประสบการณ์ดีๆ มากมายที่ญี่ปุ่น เราทำงานเป็นครูอยู่ที่ประเทศตนเอง เพราะงั้นเราก็หวังว่าเคล็ดลับพวกนี้จะช่วยทุกคนที่อ่าน เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นได้! ถามตัวเองก่อนเลย : แรงจูงใจในการมาเรียนต่อญี่ปุ่นคืออะไร   สิ่งแรกที่น้องๆ จะต้องทำถามตัวเองให้ดีคือ ทำไมถึงอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะอยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ก็เป็นเหตุผลที่ดีแล้วแหละ แต่น้องๆ ก็ต้องถามตัวเองต่อด้วยว่า ทำไมถึงอยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ทำไมต้องเป็นญี่ปุ่น   น้องๆ ต้องรู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจของเรา เพราะแรงจูงใจนี่แหละที่จะช่วยให้เราผ่านการเรียนภาษาใหม่ไปได้ เพราะการเรียนภาษาใหม่ โดยเฉพาะถ้าภาษานั้นต่างจากภาษาแม่ของเรามากๆ มันจะยากแล้วก็ทรมานในหลายๆ ช่วง (เช่น คนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จะเรียนภาษาเยอรมันได้ง่ายกว่า เพราะทั้งสองภาษา เป็นภาษาที่แยกมาจากภาษาเดียวกัน แต่ภาษาญี่ปุ่นอาจจะยากกว่าสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เพราะสองภาษานี้แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ยกเว้นที่ภาษาญี่ปุ่นยืมคำบางคำมาจากภาษาอังกฤษ) ยิ่งเรียนก็จะรู้สึกยากขึ้น ทรมานขึ้น แรงจูงใจของน้องๆ แล้วก็เป้าหมายที่จะไปเรียนต่อญี่ปุ่นจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้น้องๆ ไม่ยอมแพ้ไปก่อน   รู้จักตนเอง: รู้ว่าตนเองจะเรียนรู้ได้ดีด้วยวิธีไหน   ถ้าน้องๆ ผู้อ่านรู้จักตนเอง รู้ว่าตนเองจะเรียนรู้ จดจำได้ดีด้วยวิธีไหนแล้วละก็ ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย! เพราะสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากๆ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น (แล้วก็การเรียนสิ่งอื่นๆ ด้วย) ถ้ายังไม่รู้ เราก็จะมาบอกเคล็ดลับให้น้องๆ เอง การรู้ว่าตนเองเรียนรู้ได้ดีด้วยวิธีไหน เรียกว่า “การรู้คิด” วิธีนี้เป็นวิธีที่จะทำให้น้องๆ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเรียนด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ   ลองคิดดูว่าน้องๆ เป็นยังไง หรือเคยเป็นยังไง…
Read More
เคยไหม อ่านเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ซักที

เคยไหม อ่านเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ซักที

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, บทความสัมภาษณ์, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, แอป Clearnote
  ช่วงนี้คงเข้าสู่ช่วงสอบแล้วสำหรับบางคน ตะบี้ตะบันอ่านหนังสือก็แล้ว แต่ก็จำไม่ได้ซักที ท่องศัพท์แล้ว ผ่านไปก็ลืมตลอด ทุกคนเคยมีปัญหาเหล่านี้กันบ้างไหมคะ เราคิดว่ามีคนไม่น้อยที่ประสบกับปัญหานี้ เราเองก็เคยประสบกับปัญหานี้เช่นกันค่ะ วันนี้จึงอยากมาแบ่งปันวิธีจำให้ได้นานในรูปแบบความจำระยะยาวให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ Cartoon png from pngtree.com/   ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับความจำของคนเราก่อนนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ความทรงจำของเรานั้นแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.ความจำทันที (immediately memory) หมายถึง ความจำที่เกิดทันทีที่มีการรับรู้จากสิ่งเร้า โดยยังไม่มีการทบทวนหรือใส่ใจ ทำให้ลืมได้ง่ายภายในไม่กี่วินาที เช่น ชื่อถนน เบอร์โทรศัพท์ 2.ความจำระยะสั้น(Short-term memory) หมายถึง ความจำซึ่งเราตั้งใจจดจำไว้ชั่วคราวไม่กี่นาที และถ้าไม่มีการทบทวนความทรงจำก็จะลืมไปได้เช่นกัน เช่น สิ่งใหม่ๆที่เรียนรู้ 3.  ความจำระยะยาว (long-term memory) หมายถึงความจำที่เราทบทวนอยู่เสมอ ทำให้เปลี่ยนจากความจำระยะสั้นมาเป็นความจำระยะยาว ซึ่งอาจอยู่ได้นานเป็นปี หรือตลอดชีวิตก็ได้ เช่น วิธีขี่จักรยาน brain png from pngtree.com/   สมองเราก็เหมือนกับ hard drive ค่ะ แน่นอนว่ามีพื้นที่จำกัดในการกักเก็บข้อมูล ด้วยเหตุนี้แหละค่ะที่ทำให้เราลืมสิ่งต่างๆ เมื่อข้อมูลของเราเต็ม สมองจะพยายามขจัดข้อมูลที่เราคิดว่าไม่จำเป็นออกไป ถ้าเพื่อนๆยังนึกภาพกันไม่ออก เราจะลองยกตัวอย่างให้ได้เห็นภาพกันมากขึ้นนะคะ เพื่อนๆคงจะรู้จัก เชอร์ล็อค โฮล์มส์ กันใช่ไหมคะ เขาเป็นนักสืบอัจฉริยะนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถจดจำเรื่องระบบสุริยะได้ ไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่เรื่องนี้แต่อย่างใด แต่นั่นเป็นเพราะเขาฉลาดมากๆ มีข้อมูลในหัวมาก สมองของเขาจึงกำจัดข้อมูลเกี่ยวกับระบบสุริยะที่เขาคิดว่าเป็นข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อเขานั่นเอง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ข้อมูลล้น ข้อมูลใหม่ๆจึงถูกจัดเป็นความจำระยะสั้น หรือ Short-term memory นั่นเองค่ะ   จากผลวิจัยของนักจิตวิทยาชาวเยอรมณี Hermann Ebbinghaus ชี้ให้เห็นว่า ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงหลังจากเรียนสิ่งใหม่ๆ คนเราลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปถึงมากกว่าครึ่งเสียอีก หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะจำข้อมูลได้เพียงประมาณ 30% เท่านั้น หมายความว่าหากเราต้องการที่จะเก็บข้อมูลไว้ในหัวเราให้ได้นาน เราจะต้องทำให้ข้อมูลนั้นกลายเป็นความทรงจำระยะยาวค่ะ แต่จะทำได้อย่างไร? บทความนี้ได้รวบรวมมาให้เพื่อนๆแล้วค่ะ การทำซ้ำ   หากเพื่อนๆกำลังอ่านบทความนี้ก่อนสอบ มาถูกทางแล้วค่ะ วิธีนี้จะช่วยให้เพื่อนๆจดจำได้เร็วขึ้นค่ะ ก่อนอื่นจดจำข้อมูลที่ต้องการ จากนั้นทำการทบทวน การทบทวนไม่ใช่การอ่านซ้ำอีกรอบ แต่ให้เพื่อนทบทวนกับตัวเองว่าเราได้เรียนรู้อะไรไป หากทำแล้วพบว่าลืมอะไรตกหล่นไปให้เน้นย้ำตรงจุดนั้นเพิ่มหลังจากนั้นค่ะ  ซึ่งจะทำดังนี้ค่ะ การทบทวนครั้งแรก : ทบทวนทันทีหลังจากเรียนรู้ การทบทวนครั้งที่ 2 : หลังจากผ่านไป 15-20 นาที การทบทวนครั้งที่ 3 :หลังจากผ่านไป 6-8 ชั่วโมง การทบทวนครั้งที่ 4 : หลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง ในระหว่างที่ไม่ได้ทบทวนขอให้เพื่อนๆพักผ่อนสมอง โดยไม่จำเป็นต้องจดจ่อกับเนื้อหาที่กำลังจำตลอดเวลานะคะ   ต่อมาจะเป็นวิธีที่ทำให้จำได้นานขึ้นค่ะ ซึ่งยังเป็นการทำซ้ำเหมือนเดิมแต่จะแตกต่างกับวิธีแรกเล็กน้อย การทบทวนครั้งแรก : ทบทวนทันทีหลังจากเรียนรู้ การทบทวนครั้งที่ 2 : หลังจากผ่านไป…
Read More