เรียนที่ญี่ปุ่นแพงจริงไหม?

เรียนที่ญี่ปุ่นแพงจริงไหม?

ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, ภาษาญี่ปุ่น, รีวิว, เรียนภาษาญี่ปุ่น
Nicole Warintarawet | March 27,2020 โดยสังเขป          การเรียนต่อระดับสูงขึ้นในต่างประเทศ ฟังดูเหมือนจะต้องแพงแน่ๆใช่ไหมคะ แต่มันต้องจ่ายแพงแบบนั้นจริงๆหรอ มาหาคำตอบกันในบทความนี้เลย! เรียนที่ญี่ปุ่นแพงจริงไหม?          การเรียนต่อต่างประเทศแพงก็จริง แต่ไม่เสมอไป! การใช้ชีวิตในต่างประเทศเพียงไม่กี่ปีนั้นเพียงพอที่จะทำให้เพื่อนๆได้รับประสบการณ์สุดล้ำค่าที่หาจากไหนไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าพูดถึงข้อดี อย่างแรกที่นึกออกได้เลยก็คือ การออกจากคอมฟอร์ทโซนไปผจญภัยในต่างแดนใช่ไหมคะ แต่ปัญหาตามมาที่หลายๆคนกังวลก็คือ ‘จะจ่ายไหวได้ยังไงล่ะ?’ ถ้าเพื่อนๆกังวลใจกับปัญหานั้น ญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว นอกจากญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่สวยงาม การศึกษามีคุณภาพ และมีความปลอดภัยสูงเป็นอันดับต้นๆของโลกแล้ว ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยยังถูกกว่าที่คิดอีกด้วย! ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนต่างชาติในญี่ปุ่นมาเกือบ 4 ปี จะมาแจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เพื่อนๆฟังกันค่ะ สรุปสั้นๆ (สำหรับคนไม่อยากอ่านยาว) เฉลี่ยรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อปี : •ค่าเทอม       •มหาวิทยาลัยเอกชน ประมาณ 1,000,000 เยน – 2,000,000 เยน ต่อปี       •มหาวิทยาลัยรัฐบาล 535,800 เยน ต่อปี •ค่าธรรมเนียมแรกเข้า(จ่ายครั้งเดียว)       •มหาวิทยาลัยเอกชน ประมาณ 200,000 – 1,000,000 เยน (ขึ้นอยู่กับคณะที่เรียน,หากเป็นคณะแพทยศาสตร์จะค่าใช้จ่ายสูง)       •มหาวิทยาลัยรัฐบาล 282,000 เยน(แห่งชาติ) – 393,618 เยน(ท้องถิ่น) •ค่าใช้จ่ายรายเดือน ประมาณ 72,000 เยน – 100,000 เยน ต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่อยู่)       •ค่าเช่า และ ค่าน้ำค่าไฟ 23,000 เยน – 43,000 เยน สำหรับค่าเช่า + 7,000 เยน สำหรับค่าน้ำค่าไฟ       •ค่าเดินทาง 5000 เยน       •ค่าใช่จ่ายอื่นๆ 16,000 เยน ฉบับเต็ม ค่าเทอม          อย่างแรกทีเราต้องพูดถึงคือ ค่าเทอม จริงๆแล้วค่าเทอมมีหลากหลายราคา ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน หรือรัฐบาล อ้างอิงจาก JASSO มหาวิทยาลัยรัฐบาลค่าเทอมจะอยู่ที่ประมาณ 535,800 เยน ต่อปี ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนค่าเทอมจะสูงอยู่ที่ราวๆ 1-2 ล้านเยน เพื่อให้เพื่อนๆเห็นภาพมากขึ้น เราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Sophia เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าเทอมประมาณ 1.5 ล้านเยน ต่อปี และในปีแรกนักศึกษาใหม่จะต้องจ่ายค่าแรกเข้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 200,000 เยน ไปจนถึง 400,000 เยน ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยค่ะ อย่างมหาวิทยาลัยที่เราอยู่ ค่าเทอมในปีแรกสูงถึงประมาณ 1.7…
Read More
5 เหตุผลทำไมถึงควรไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น!?

5 เหตุผลทำไมถึงควรไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น!?

Uncategorized, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, ภาษาญี่ปุ่น, เรียนภาษาญี่ปุ่น
เรามีตัวเลือกมากมายให้เลือกเมื่อต้องศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ก็ยังเหนื่อยที่จะมานั่งคิดว่าจะเรียนที่ไหนดี ถ้ายังมีปัญหาในการเลือกสถานที่เรียนต่อต่างประเทศ มาอ่านบทความนี้เลยย ต่อไปนี้คือเหตุผล 5 ประการที่เราควรไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น 1) ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานการครองชีพสูง เหตุผลแรกที่เราควรไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ก็คือว่ายอมรับเถอะว่า มีสถานที่ไม่มากในโลกที่สามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ในแง่ของอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำ ในฐานะนักเรียนการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางรอบเมืองและสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วและราคาไม่แพงก็ทำได้ง่ายมาก ด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่กว้างขวางและมีประสิทธิภาพของญี่ปุ่น ต้องการวางแผนการพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ชายหาดเหรอ? – แค่จองโรงแรม กระโดดขึ้นรถไฟ ก็พร้อมเที่ยวเลย! อาหารในญี่ปุ่นก็อร่อยมากกกกกก ถ้าหิวตอนตีสองก็แค่แค่หยิบเบนโตะอร่อยๆ สักกล่องจากร้านสะดวกซื้อ! และถ้าคุณคิดว่าอาหารในร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นเนี้ยอร่อยแล้ว แต่อาหารที่เสิร์ฟในร้านอาหารก็ยิ่งอร่อยกว่านั้นอีก! ลองโอสึมามิสิ (อาหารหลากหลายประเภทเสิร์ฟในจานเล็กๆ ที่บาร์อิซากายะสไตล์ญี่ปุ่น) 2) การศึกษาคุณภาพราคาไม่แรง พร้อมทุนการศึกษามากมาย เหตุผลต่อมาที่เราควรมาเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นก็เพราะว่าการศึกษาระดับวิทยาลัยในญี่ปุ่นมีราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร มหาวิทยาลัยรัฐในญี่ปุ่นมักมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า 600,000 เยนต่อปี ซึ่งคร่าวๆ ก็ประมาณ 162,250 บาท แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วมหาวิทยาลัยเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 1,000,000 เยนต่อปี แต่ก็มีโอกาสในการมอบทุนการศึกษามากมายสำหรับนักศึกษาต่างชาติ นอกจากทุนการศึกษาที่มีชื่อเสียงจาก MEXT และ JASSO แล้ว ยังมีทุนการศึกษาอื่น ๆ อีกมากมายที่มอบให้โดยตรงจากมหาวิทยาลัยและองค์กรเอกชน ลองอ่านบทความนี้เพื่อรับทุนการศึกษาเต็มทุนสำหรับการศึกษาต่อต่างประเทศในญี่ปุ่นที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยนะ!? 3) โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตในการเรียนรู้ภาษาใหม่ในสภาพแวดล้อมที่สนุกสนาน เหตุผลข้อที่สามที่เราควรเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นก็เพราะว่าการเรียนรู้ภาษาใหม่จะง่ายขึ้นถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่พูดภาษาเป้าหมายที่จะเรียน เราเองก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสกับจุดนี้โดยตรงด้วยการเรียนหลักสูตรระดับปริญญาตรีที่สอนด้วยภาษาอังกฤษในญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าเราจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยเมื่อมาถึงที่นี่ครั้งแรก แต่ทักษะภาษาญี่ปุ่นก็พัฒนาขึ้นอย่างมากภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ฉันผ่าน JLPT N2 ได้ภายในสามปี ต้องขอบคุณสภาพแวดล้อมที่รายล้อมด้วยผู้ใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ช่วยอดทนต่อความผิดพลาดของฉันนะคะ! เราคงไม่สามารถบรรลุผลทั้งหมดนี้ได้หากตัดสินใจไปเรียนที่อื่น จากประสบการณ์ส่วนตัว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมากนักในชั้นเรียน (ยกเว้นหลักสูตรภาษาภาคบังคับ) แต่ก็ได้เรียนรู้มากขึ้นจากการสื่อสารในชีวิตประจำวันกับเพื่อนและผู้คน เราคิดว่าเราได้เรียนรู้ภาษาโดยไม่รู้ตัวเวลาฟังเสียงรอบข้างในที่สาธารณะ เช่น สถานีรถไฟ ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ 4) โอกาสทางอาชีพที่ดีหลังเรียนจบ ถัดมาที่เราควรเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นก็เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยโอกาส ด้วยอัตราการเกิดที่ลดลง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงพยายามดึงดูดเยาวชนที่มีความสามารถจากทั่วโลก อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าสนใจ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ระเบียบการขอวีซ่าได้รับการแก้ไขเพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถทำงานในประเทศญี่ปุ่นได้มากขึ้น มีกิจกรรมหางานมากมายสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ! ถ้ากำลังมองหาอาชีพใหม่ในต่างประเทศ การเรียนที่ญี่ปุ่นถือเป็นก้าวแรกที่ยอดเยี่ยมเลยนะ 5) ความแน่นแฟ้นในสังคม ตรงกันข้ามกับที่หลายคนอาจคิดไปเองว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ จริง ๆ หากอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว นาโกย่า หรือโอซาก้า การหาการชุมนุมทางสังคมและกิจกรรมประเภทอื่นๆ ที่จัดโดยชุมชนชาวต่างชาติในพื้นที่นั้นมีเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากคนญี่ปุ่นเริ่มให้ความสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมขึ้นเป็นประจำ และถ้าสนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อย่าลืมดูตารางกิจกรรมประจำปีด้วยนะคะ การเข้าร่วมกิจกรรมในญี่ปุ่นจะช่วยให้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมและทำความรู้จักกับผู้คนนอกวิทยาลัยได้มากขึ้น แล้วยังช่วยเพิ่มสีสันในชีวิตให้ด้วยนะคะ เพราะเราอาจเจอกลุ่มต่างๆ ที่เหมาะกับความสนใจของเราค่ะ! Credit by SchooLynk: https://schoolynk.com/media/articles/d710d0ec-944d-4d50-8bce-14612b6a7065
Read More
เรียนต่อญี่ปุ่น: 6 เคล็ดลับสำหรับการเตรียมตัว

เรียนต่อญี่ปุ่น: 6 เคล็ดลับสำหรับการเตรียมตัว

English, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, อาหารและเครื่องดื่ม, เรียนภาษาญี่ปุ่น
เรียนต่อญี่ปุ่น: 6 เคล็ดลับสำหรับการเตรียมตัว โดย Tamaki Hoshi น้องๆ คือคนหนึ่งที่อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นใช่ไหม! มาดู 6 เคล็ดลับจากนักเรียนต่างชาติที่ไปเรียนต่อ ณ มหาวิทยาลัยประเทศญี่ปุ่นกัน! เคล็ดลับจากนักศึกษาต่างชาติสำหรับการเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น สวัสดี เราชื่อทามากิ เป็นนักศึกษาต่างชาติที่อยู่ในกรุงโตเกียว   ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีทั้งความแปลกใหม่และความสะดวกสบายผสมผสานกันอย่างลงตัว ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นจุดหมายยอดฮิตสำหรับนักศึกษาที่ต้องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ บางทีอาจเป็นเพราะขนมไทยากิ โอโคโนมิยากิ หรือเสื้อผ้าและเครื่องเขียนที่สุดแสนจะน่ารักคาวาอี้ ความสุภาพและบรรยากาศที่เป็นมิตรในสังคมญี่ปุ่นที่ดึงดูดนักเรียนต่างชาติเกือบ 300,000 คน ให้มาเรียนต่อที่นี่ ในฐานะที่เป็นนักเรียนต่างชาติซึ่งเรียนอยู่ณ มหาวิทยาลัยในโตเกียว ผู้เขียนขอรับรองได้เลยว่าทุกสิ่งที่คาดหวังไว้ด้านบนเป็นเรื่องจริงของญี่ปุ่นที่น่าประทับใจมาก   ทั้งอาหารและโอกาสต่างๆ ในญี่ปุ่นต่างไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ผู้เขียนก็พบเคล็ดลับบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จากการลองผิดลองถูก เป็นเคล็ดลับแบบที่ถ้ารู้มาก่อนก็คงจะดี    เพราะฉะนั้นเพื่อให้น้องๆ ผู้อ่านที่วางแผนจะมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาแบบผู้เขียน เราก็จะขอแนะนำ 6 เคล็ดลับสำหรับการเตรียมตัวมาเรียนต่อญี่ปุ่นอย่างมีประสิทธิภาพกันเลย! 1.หาหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ   ตอนที่ผู้เขียนค้นหามหาวิทยาลัยที่จะมาเรียนต่อ สิ่งแรกที่ทำคือการหาหลักสูตรที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลักของแต่ละมหาวิทยาลัย เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้น แต่ปัญหาก็คือการที่ผู้เขียนไม่ยอมหาข้อมูลให้ลึกลงไปกว่านี้    ผู้เขียนข้อแนะนำว่าไม่ควรเช็คแค่หลักสูตรทั่วไปหลักๆ ของคณะที่จัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ควรจะเช็คประมวลรายวิชาของแต่ละวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะหลังจากที่ผู้เขียนเรียนมา 3 เทอมในมหาวิทยาลัย ผู้เขียนก็รู้ว่าเกือบครึ่งของวิชาเรียนที่ลงเรียนเป็นวิชาเรียนของภาควิชาอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือหลักสูตรของภาควิชาที่ผู้เขียนสังกัดอยู่   ผู้เขียนยังโชคดีเพราะมหาวิทยาลัยมีวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษหลายวิชา แล้วยังเป็นวิชาของภาควิชาที่ผู้เขียนสังกัดด้วย แต่ผู้เขียนก็เห็นว่ามีบางมหาวิทยาลัยมักจะเปิดวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่วิชาเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าน้องๆ จะมีอิสระในการลงเรียนวิชาต่างๆ บ้างตอนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ขอแนะนำมากๆ ให้น้องๆ หาข้อมูลจำนวนวิชาที่จัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยน่าจะเปิดไว้ 2.ทำตัวให้คุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่น   ในฐานะนักศึกษาที่สมัครเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษและอาศัยอยู่ในโตเกียว ผู้เขียนรับรองได้เลยว่าสกิลภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นตอนเรียน เฮ้อ! รอดไป!   แต่ก็มีสถานการณ์นอกห้องเรียนที่ผู้เขียนถูกทดสอบสกิลภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เช่นสถานการณ์ต่อไปนี้ - ถามทางอย่างเร็วๆ บนถนน -อ่านป้ายต่างๆ ในสถานนีรถไฟ -สั่งอาหารในร้านอาหาร -คุยกับเจ้าของห้องเช่า -คุยโทรศัพท์กับบริษัทที่ให้บริการสาธารนูปโภคอย่างน้ำประปา แก๊ส และไฟฟ้า -หาเพื่อนคนญี่ปุ่น   การเข้าใจภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ช่วยแค่ในสถานการณ์เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้เขียนเข้าร่วมกิจกรรมท้องถิ่นกับคนในชุมชน ผู้เขียนตัดสินใจมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แล้วการได้ภาษาก็ทำให้การค้นหา เข้าถึง และมีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือจากการเรียนนั้นง่ายมากขึ้น   เคล็ดลับง่ายๆ ข้อหนึ่งก็คงจะเป็นการจดจำเอกลักษณ์ของเมืองใหญ่เมืองเล็กที่น้องๆ ผู้อ่านจะไปบ่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้น้องๆ ได้เมื่อน้องๆ พยายามหาจุดที่ตัวเองอยู่ในแผนที่หรือป้ายสัญญาณรถไฟ   ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยใช่ไหม? แต่ไม่เป็นไร! ลองไปอ่านบทความในนี้ดูนะ บทความเกี่ยวกับการเรียนภาษาญี่ปุ่น - SchooLynk|MEDIA 3.เตรียมเงินสกุลญี่ปุ่นไว้บ้าง   สกุลเงินเยน (JPY) เป็นสกุลเงินที่ใช้กันในประเทศญี่ปุ่น 100 เยน เท่ากับประมาณ 30 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนขึ้นลงแล้วแต่ช่วง) ร้านค้าใหญ่ๆ รับบัตรเครดิตก็จริง แต่ว่าร้านค้าทั่วไปหลายๆ ร้านกับขนส่งสาธารณะรับแต่เงินสดเท่านั้น เช่น รถบัสรับแค่เหรียญหรือ IC card ที่เติมเงินไว้ก่อนเท่านั้น ผู้เขียนเรียนรู้วิธีนี้ด้วยวิธีที่ยากลำบากทีเดียวเชียว…   การเอาเงินสดไปให้พอจะทำให้น้องๆ มั่นใจได้ว่าน้องๆ จะไม่ต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวหรือพลาดโอกาสอะไร ซื้อกระเป๋าใส่เศษเหรียญไว้ก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน เพราะญี่ปุ่นมีทั้งเหรียญ 1 เยน 10 เยน 50…
Read More
ตีแผ่เคล็ดลับเตรียมสอบ จากภาพยนตร์เรื่อง “Biri Gal”

ตีแผ่เคล็ดลับเตรียมสอบ จากภาพยนตร์เรื่อง “Biri Gal”

9วิชาสามัญ, English, GAT, GAT ENG, GAT/PAT, O-NET, PAT1, PAT2, TCAS, ภาพยนตร์, ภาษาญี่ปุ่น, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค
ตีแผ่เคล็ดลับเตรียมสอบ จากภาพยนตร์เรื่อง “Biri Gal”           สวัสดีจ้า น้อง ๆ มีใครเคยดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง「ビリギャル」หรือ “Biri Gal”  บ้างไหมคะ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยของผู้เขียนเลย ถ้าใครยังไม่รู้จัก เราไปดูเรื่องย่อกันดีกว่า ที่มา : http://birigal.jp/           เรื่องย่อ           ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริง โดยคุโด ซายากะ (รับบทโดย Arimura Kasumi) นางเอกของเรื่อง เป็นสาวแกล ที่โหล่ของห้องที่ถึงจะอยู่ชั้นม.5 แต่ความรู้เทียบได้กับแค่เด็กป.4 และก่อเรื่องไม่เว้นวันจนในโรงเรียนต่างเอือมระอา จนมาวันหนึ่งซายากะถูกพักการเรียน แม่ได้ชักชวนให้เธอไปสมัครเรียนที่โรงเรียนสอนพิเศษแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ซายากะได้พบกับอาจารย์ท์ซุโบตะ โนบุทากะ (รับบทโดย Ito Atsushi) อาจารย์สอนพิเศษที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของซายากะให้สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอ (Keio University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นได้ภายใน 1 ปี ที่มา : https://youtu.be/oyqqcgpWzsM           เป็นเรื่องราวการฝ่าฟันอุปสรรคของเด็กม.ปลายคนหนึ่งเพื่อเป้าหมายและความฝันของตัวเองที่น่าประทับใจมาก ๆ น้อง ๆ คนไหนที่สนใจก็ลองไปดูกันได้นะคะ และวันนี้เราจะเอาเคล็ดลับที่ซายากะใช้อ่านหนังสือเตรียมสอบมาตีแผ่ให้น้อง ๆ อ่านกันค่ะ รับรองว่าถ้าเอาวิธีอ่านหนังสือของซายากะไปปรับใช้แล้ว เริ่ดปังทุกคน!           1. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน           ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านหนังสือหรือทำอะไร เราต้องกำหนดเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจนก่อน โดยจากเรื่องตอนแรกซายากะไม่รู้ถึงความสำคัญของการกำหนดเป้าหมาย แต่อาจารย์ท์ซุโบตะได้พูดออกมาว่า「でもさ、無理って思うことを成し遂げたら、自信になるだろ」ซึ่งแปลว่า “แต่ว่านะ การทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้ลุล่วง ก็จะกลายเป็นความมั่นใจได้นะ” ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านหนังสือ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะมีเป้าหมายที่ใหญ่เกินไป เพราะถ้าเรามีความตั้งใจและความพยายามมากพอ ก็จะสามารถทำให้ความฝันที่ตอนแรกเรามองว่าเป็นไปไม่ได้ ให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ แล้วความสำเร็จนั้นก็จะทำให้เราเกิดความมั่นใจ ความภูมิใจในตัวเอง           ทั้งนี้แรงบันดาลใจหรือเหตุผลที่ทำให้เราตั้งเป้าหมายนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องจริงจังก็ได้ เช่น ในตอนแรกที่ซายากะเข้าโรงเรียนม.ต้นของเธอ ส่วนหนึ่งก็เพราะชุดเครื่องแบบนักเรียนน่ารัก น่าใส่ และในตอนที่ซายากะเลือกสอบที่มหาวิทยาลัยเคโอ ก็เพราะที่มหาวิทยาลัยขึ้นชื่อเรื่องหนุ่มหน้าตาดี ดังนั้นเราอาจหาแรงบันดาลใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย เช่น อยากเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนั้น เพราะอาคารสวย เพราะอาหารอร่อย เพราะอยากลองเข้าทำกิจกรรมนี้ ๆ หรือแค่เพราะอยากลองchallengeตัวเอง ก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นแล้ว           2. ไม่กลัวที่จะปูพื้นฐานใหม่           จากที่ได้เล่าให้ฟังในเรื่องย่อ ถึงซายากะจะเรียนอยู่ชั้นม.5 แล้ว แต่ความรู้ต่าง ๆ ยังอยู่ชั้นป.4 ทำให้ทำคะแนนpre-testของโรงเรียนกวดวิชาได้0คะแนน ถึงอย่างนั้นซายากะก็ไม่กลัวที่จะปูพื้นฐานของตัวเองใหม่หมดเลยโดยการนั่งอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดสำหรับนักเรียนชั้นประถม ทำให้ต่อมาซายากะคะแนนดีขึ้นเรื่อย ๆ           การปูพื้นฐานก็เหมือนกับการกำจัดจุดอ่อนของเรา โดยน้อง ๆ อาจลองทำข้อสอบประเมินทุกวิชาก่อนว่าตัวเองมีจุดอ่อนวิชาไหน หรือหัวข้อไหน แล้วเมื่อเรารู้จุดที่อ่อนแล้ว ก็ไปอ่านทำความเข้าใจหลักพื้นฐานของวิชานั้น ๆ หรือประเด็นนั้น ๆ จากนั้นเมื่อพื้นฐานเราแน่นมากพอแล้ว เราก็สามารถไปตะลุยโจทย์ที่มีระดับความยากขึ้นไปอีกได้           อาจารย์สมัยม.ปลายของผู้เขียน (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา) เคยพูดเอาไว้ว่า การเรียนก็เหมือนการก่อปราสาททราย…
Read More
เรียนต่อที่ญี่ปุ่น: 5เคล็ดลับการบริหารเงินสำหรับไปเรียนต่อ

เรียนต่อที่ญี่ปุ่น: 5เคล็ดลับการบริหารเงินสำหรับไปเรียนต่อ

ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, ภาษาญี่ปุ่น, รีวิว, เรียนภาษาญี่ปุ่น
เรียนต่อที่ญี่ปุ่น: 5 เคล็ดลับการบริหารเงินสำหรับไปเรียนต่อ โดย Nicole Warintarawet ถ้าน้อง ๆ ยังไม่แน่ใจว่าฐานะการเงินทางบ้านพอจะส่งน้อง ๆ ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นได้รึเปล่า มาลองอ่านบทความเพื่อค้นหาคำตอบกันเลย! ในปัจจุบัน มีนักเรียน นักศึกษาที่อยากไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาระทางการเงินถือว่าเป็นอุปสรรคที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ซึ่งสินเชื่อเพื่อการศึกษาของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเปิดรับแค่นักเรียน นักศึกษาในประเทศ (ซึ่งก็คือคนญี่ปุ่น) ไม่ค่อยมีที่เปิดรับให้นักเรียนชาวต่างชาติอย่างเรา ๆ ทำให้ถ้าที่บ้านของน้อง ๆ ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะซัพพอร์ทได้ ก็อาจไปเรียนต่อได้ค่อนข้างยาก เว้นแต่จะได้ทุนการศึกษาแบบเต็มจำนวนที่จะครอบคลุมตั้งแต่ค่าเล่าเรียนไปจนถึงค่าครองชีพสำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวต่างชาติ อย่างทุนมง (ทุนMonbukagakushou หรือทุนรัฐบาลญี่ปุ่น) อย่างไรก็ตามถึงน้อง ๆ จะไม่ได้ทุนมง ก็อย่าเพิ่งถอดใจไป เพราะยังมีทุนการศึกษาอีกมากมายที่จะออกค่าเล่าเรียนให้เรา100% และบางทุนยังให้เงินช่วยเหลือสำหรับค่าครองชีพในแต่ละเดือนอีกด้วย ดังนั้นน้อง ๆ จะสามารถอยู่ญี่ปุ่นได้แบบชิว ๆ โดยไม่ต้องทำงานพิเศษเพื่อหางานเพิ่ม ซึ่งทุนดี ๆ เหล่านี้สามารถหาข้อมูลได้จากลิงก์บทความนี้เลยยยย ! ตอนนี้น้อง ๆ บางคนอาจสงสัยว่าแล้วถ้าทุนที่เราได้เป็นทุนไม่เต็มจำนวน เป็นแค่ทุนที่ออกค่าเล่าเรียนให้บางส่วนแล้วมันจะโอเคไหม? บทความนี้เราจะมาตอบข้อสงสัยนั้น และเอาเคล็ดลับ ทริคดี ๆ ที่จะช่วยให้การเงินของเราในช่วงที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยรอดไปได้ด้วยดี 1. ประเมินค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นตามความเป็นจริง อ้างอิงจากข้อมูลขององค์การสนับสนุนนักศึกษาแห่งประเทศญี่ปุ่น (JASSO) ค่าครองชีพที่ญี่ปุ่น (รวมค่าเช่าที่พัก) จะอยู่ที่เดือนละ 89,000 เยน (ประมาณ 26,488 บาท ตามอัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 สิงหาคม 64) ทั้งนี้ค่าครองชีพนั้นจะแตกต่างไปตามแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค เช่น ค่าครองชีพที่กรุงโตเกียว (ที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ )จะอยู่ที่เดือนละ 100,000 เยน (ประมาณ 29,762 บาท ตามอัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 สิงหาคม 64) โดยจากประสบการณ์ของเราแล้ว ถ้าเราทำอาหารกินเองก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้ประเมินงบไว้เผื่อ ๆ หน่อย เพราะถ้าตึงจนเกินไปก็อาจทำให้เกิดความเครียดได้ถ้าอยู่ในระยะยาว ส่วนตัวเราแนะนำให้เผื่องบไว้ 100,000 เยน (ประมาณ 29,762 บาท ตามอัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 สิงหาคม 64) ต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ ถ้าน้อง ๆ ได้ทุนการศึกษาที่สามารถลดหย่อนค่าเทอมได้แค่บางส่วน ก็ต้องเอาค่าเทอมที่เหลือมาคำนวณเพิ่มด้วย โดยค่าธรรมเนียมแรกเข้ามหาวิทยาลัยจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 - 400,000 เยน (ประมาณ 59,523 – 119,047 บาทตามอัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่26 สิงหาคม 64) ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย และค่าเล่าเรียนต่อปีจะอยู่มีตั้งแต่ 535,800…
Read More
3 ขนม-เครื่องดื่มยอดฮิต ขวัญใจเด็กเตรียมสอบ

3 ขนม-เครื่องดื่มยอดฮิต ขวัญใจเด็กเตรียมสอบ

Uncategorized, แบบสอบถาม ออนไลน์
สวัสดีค่ะทุกคนหลังจากที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ กันไปมากมายในบทความที่แล้วนะคะในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าในเด็ก ๆ ระดับชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายรวมไปถึงระดับชั้นมหาลัยทั้งหมด 466 คนที่ทำการตอบแบบสอบถามออนไลน์กับทางแอพพลิเคชั่นเคลียร์มาตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564 จะมีขนมและเครื่องดื่มแบบไหนบ้างที่เป็นเพื่อนคู่ซี้ยามอ่านหนังสือถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลยค่ะ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนเลยนะคะว่าน้อง ๆ 466 คนนี้ ปกติแล้วทานของว่างเวลาอ่านหนังสือกันบ่อยแค่ไหน โดยเราจะสามารถเห็นได้จากกราฟนี้นะคะว่านักเรียนส่วนมากเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์เลย จะทานขนมและอาหารว่างเป็นบางครั้งระหว่างการอ่านหนังสือ รองจากนั้นก็จะเป็นกลุ่มนักเรียนที่ทานบ่อยแต่ไม่ได้ทานทุกครั้งระหว่างอ่านหนังสือ และจากนั้นก็จะเป็นกลุ่มนักเรียนที่ไม่ค่อยทานและทานทุกครั้งตามลำดับค่ะ ถ้าดูเผิน ๆ แล้วจะเห็นว่านักเรียนที่มักจะทานขนมระหว่างการอ่านหนังสือนั้นก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างมากเลยนะคะโดยเหตุผลส่วนมากที่น้อง ๆ เลือกจะรับประทานขนมและอาหารว่างส่วนมากก็คือเหตุผลที่น้อง ๆ มักจะรู้สึกหิวระหว่างการอ่านหนังสือ ส่วนเหตุผลลำดับถัดมาคือเหตุผลที่ว่าน้อง ๆ ต้องการพักระหว่างการอ่านหนังสือจึงหาอะไรทำเพื่อเป็นการพัก และเหตุผลลำดับที่สามก็คือเมื่อน้อง ๆรู้สึกเครียดหรือหมดหงิดน้องๆก็จะรู้สึกว่าต้องการคบเคี้ยวอะไรบางอย่างเพื่อระบายความเครียดนั้นด้วย แต่ก็ยังมีนักเรียนบางส่วนที่ให้เหตุผลว่าพวกเขามักที่จะรับประทานอาหารว่างเมื่อรู้สึกง่วงและรู้สึกว่าไม่มีสมาธิกับการอ่านหนังสือด้วยค่ะ เมื่อเรารู้แล้วว่า น้องๆในแอปของเราทานขนมกันค่อนข้างที่จะบ่อยในระหว่างการอ่านหนังสือแล้วเราไปดูกันต่อเลยว่าขนมที่ทุกคนมักจะเลือกรับประทานบ่อยๆ ขณะอ่านหนังสือนั้น ได้แก่อะไรบ้าง โดยกลุ่มขนมยอดฮิตอันดับ 1 ที่น้องๆนักเรียนมักจะรับประทานระหว่างการอ่านหนังสือก็คือขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ รองไปจากนั้นก็จะเป็นขนมกลุ่มประเภทช็อกโกแลตและขนมพวกคุกกี้บิสกิต รวมไปถึงลูกอมตามลำดับค่ะ แต่ถ้ามาดูกันในส่วนของอาหารว่างแล้วเราจะเห็นว่าอาหารว่างอันดับ 1 ที่น้อง ๆ มักจะรับประทานระหว่างการอ่านหนังสือก็คือขนมประเภทขนมปังและแซนวิช และนอกจากนี้เองน้อง ๆ ยังนิยมรับประทานขนมอาหารว่างประเภทซีเรียลและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเป็นจำนวนมากนะคะ และตอนนี้ก็ถึงช่วงเวลาที่หลายๆคนรอคอยนะคะหลังจากนี้ก็จะเป็นการเรียงลำดับ 3 อันดับขนมที่เพื่อน ๆ มักจะเลือกทานระหว่างการอ่านหนังสือนั่นเองค่ะเราไปดูที่อันดับแรกกันเลยนะคะ  อันดับที่ 1 เลย์ อันดับแรกสุดเลยก็จะเป็นในส่วนของขนมขบเคี้ยวซึ่งก็คือเลย์ นั่นเองค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะน้องๆส่วนมากให้เหตุผลว่าในนั้นมีความอร่อยเคี้ยวเพลิน และความกรอบนั้นเองทำให้รู้สึกหายง่วงระหว่าง การอ่านหนังสืออีกด้วยค่ะ นอกจากนี้เองเลยยังมีรสชาติให้เลือกหลากหลายรสชาติมาก ๆ ทำให้เมื่อต้องกินบ่อย ๆ แล้วก็ไม่เบื่อเพราะว่าเราสามารถเปลี่ยนรสชาติไปตามอารมณ์ของเราได้ ส่วนรสชาติที่เพื่อน ๆ ให้คำแนะนำก็คือรสชาติที่มีลักษณะจัดจ้านหน่อย ๆเพราะว่าจะทำให้ร่างกายมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้นค่ะ หากสนใจชิมสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จาก ที่นี่ อันดับที่ 2 เลย์ ลำดับที่สองก็คือโกโก้ครั้นช์ทั้งนี้ก็เพราะว่าน้อง ๆ เห็นว่าโกโก้ครั้นช์เนี่ยเป็นขนมที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตซึ่งช็อกโกแลตเนี่ยน้อง ๆ ให้เหตุผลว่าเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้วช่วยลดความเครียดได้อีกด้วยนอกจากนี้ลักษณะของโกโก้ครั้นนั้นยังทานง่ายอร่อยและยังทำให้เพลิดเพลินเวลาอ่านหนังสืออีกด้วยและยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าเกิดว่าเราหรือรับประทานโกโก้ครั้นระหว่างการอ่านหนังสือก็จะทำให้มือไม่เลอะอีกด้วย หากสนใจชิมสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จาก ที่นี่ อันดับที่ 3 Haribo และขนมอันดับที่ 3 ที่เป็นที่ยอดฮิตของ น้องๆเตรียมสอบก็คือเยลลี่ Haribo รูปหมีนั่นเองค่ะ โดยน้องๆให้เหตุผลว่าเยลลี่ตัวนี้มีรสหวานของผลไม้ที่จะรับประทานตอนไหนก็ได้และยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย ทำให้แก้เครียดและบางคนก็ยังเคี้ยวเจ้าหมีนี้เพื่อกันง่วงอีกด้วย เรียกได้ว่าเคี้ยวเพลินจนลืมความง่วงไปเลย หากสนใจชิมสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จาก ที่นี่ ที่นี้เรามาดูกันในฝั่งของเครื่องดื่มยอดฮิตที่ เพื่อน ๆ มักจะเลือกดื่มกันระหว่างการอ่านหนังสือกันดีกว่าค่ะ จากกราฟนะคะเราจะเห็นว่าเครื่องดื่มที่เพื่อนๆมักจะดื่มบ่อยๆขณะอ่านหนังสือก็คือเครื่องดื่มประเภทน้ำเปล่าและน้ำแร่ค่ะ อันนี้ก็จะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นะคะเพราะว่าหลาย ๆ คนให้ความเห็นตรงกันเขาว่าน้ำเปล่าและน้ำแร่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและเมื่อดื่มแล้วยังทำให้รู้สึกสดชื่นคลายง่วงได้ระดับหนึ่งค่ะและที่สำคัญเป็นเครื่องดื่มที่สามารถหาดื่มได้ง่ายที่สุด จึงได้รับความนิยมที่สุดระหว่างการอ่านหนังสือนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอันดับ 2 ก็คือเครื่องดื่มประเภทนมนั่นเองค่ะ เพราะเครื่องดื่มประเภทนม ให้ประโยชน์มากมายแก่ร่างกายค่ะและนอกจากนั้นเองถ้านำนมไปแช่เย็น ๆ ก็ยังทำให้รู้สึกสดชื่นได้ไม่แพ้น้ำเปล่าหรือน้ำแร่เลยนั่นเอง และ ลำดับที่ 3 ก็คือนมเปรี้ยว ต่าง ๆ…
Read More
บอกเล่าชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยในโตเกียว

บอกเล่าชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยในโตเกียว

Uncategorized, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ชีวิตในญี่ปุ่น, ภาษาญี่ปุ่น, รีวิว, เรียนภาษาญี่ปุ่น
ชีวิตในญี่ปุ่น โดย Nina Patrick | 28 กุมภาพันธ์ 2019 https://www.vecteezy.com/free-vector/vector โดยสังเขป          ชีวิตในเมืองแสนคึกคักอย่างโตเกียวนั้นราวกับอยู่ท่ามกลางพายุแห่งแสงสีเสียงเลยทีเดียว แต่สมัยที่เราเป็นนักศึกษาที่ญี่ปุ่น เราก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ได้เร่งรีบตามวิถีชีวิตคนเมือง          ปัจจุบันโอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้ที่อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคย การก้าวเข้าไปเรียนในสภาพแวดล้อมใหม่ๆนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่ยากเกินตัวอีกต่อไป! เพื่อนๆคงจินตนาการถึงความน่าตื่นตาตื่นใจของประเทศญี่ปุ่นได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ทั้งเมืองต่างๆ, อาหารเลิศรส, เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่กำลังเฟื่องฟูอีกด้วย ไม่ว่าผู้คนจากแดนใกล้ไกลก็ต้องเป็นอันหลงใหลในสิ่งเหล่านี้กันถ้วนหน้า หลายคนก็คงเคยแพ็คกระเป๋าไปสำรวจแดนญี่ปุ่นกันบ้างแล้ว แต่.. แต่ๆ นั่นเป็นเพียงการท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งต่างจากชีวิตนักศึกษาที่ต้องอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนที่เราเรียนอยู่ที่โตเกียว เราก็ยังใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ตัวเองที่ชอบความชิลๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงต้องทำกิจวัตรตามแบบฉบับนักศึกษาด้วย การเดินทาง การเดินทางด้วยรถไฟของคนญี่ปุ่น https://newswitch.jp/p/9581          ปกติเวลาจะไปไหนมาไหนเราจะนั่งรถไฟค่ะ ซึ่งสะดวกกว่าขับรถเองเยอะเลย เพราะไม่ต้องกังวลทั้งเรื่องที่จอด หรือเติมน้ำมัน ต่างๆนาๆ และเนื่องจากเรามีบัตรเดินทางสำหรับนักเรียน เลยได้ส่วนลดสำหรับการเดินทางมาเยอะเลย นักเรียนที่ญี่ปุ่นจะเดินทางไปโรงเรียนโดยใช้รถไฟเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะใช้บัตรสำหรับใช้บริการขนส่งสาธารณะในประเทศญี่ปุ่น หรือ teiki เป็นบัตรพิเศษ สามารถเลือกสมัครเป็นรายเดือน สามเดือน หรือหกเดือนได้ โดยเราสามารถนั่งจากสถานีที่เราอยู่ไปยังสถานีที่เรียนได้ในราคาถูกกว่า และสามารถลงสถานีระหว่างทางได้โดยไม่เสียเงินเพิ่ม และเราจะใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในระยะเวลาที่เราสมัครไว้ หรือก็คือยิ่งใช้เยอะยิ่งคุ้มนั่นเอง ซึ่งช่วยประหยัดค่าเดินทางเป็นอย่างมาก          แต่การเดินทางด้วยรถไฟก็มีข้อเสียเช่นกัน การที่ต้องติดอยู่ในฝูงชนในชั่วโมงเร่งด่วนเป็นอะไรที่ทรหดเหลือเกิน TT เป็นเหตุการณ์ที่อึดอัดเกินบรรยายแบบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตเลยค่ะ ซึ่งเราก็พยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง ทั้งพยายามไปก่อนบ้าง หรือรอคนออกไปกันก่อนบ้าง  โดยปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แต่บางทีด้วยเวลาก็ทำให้เราเลี่ยงไม่ได้ และก็ต้องไปอัดกันเป็นปลากระป๋องในรถไฟตามระเบียบ.. แต่เราก็ยอมรับว่ามันก็เป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งในโตเกียวและก็ไม่ได้แย่ไปหมด อย่างเช่น ตอนได้ออกมาจากรถไฟที่แออัดเป็นปลากระป๋องแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ได้นี่คือสวรรค์ชัดๆ ! รถไฟที่แออัดในชั่วโมงเร่งด่วน https://www.bleapear.com/entry/crowded-train-stress การเข้าสังคม          การไปเที่ยวกับเพื่อนๆในเมือง นี่คือที่สุดเลยค่ะ สนุกมากก มีที่ให้เที่ยวไม่หวาดไม่ไหว โตเกียวคือที่ที่มีทุกอย่างเลย จะแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร คือเจอได้ทุกที่ ไม่ว่าจะบนตึกสูงๆ ใต้ดิน ตามถนน ตรอกซอกซอย คือมีให้เห็นทุกที่ ปกติเราจะชอบสุ่มไปลงสถานี แล้วเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางพอเจอร้านน่านั่ง ก็จะเข้าไปนั่งดื่ม นั่งคุยกับเพื่อนชิลๆค่ะ เรากับเพื่อนเป็นสายชิล ก็เลยมักจะไปร้านอิซากายะ หรือ ร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ อาหารและเครื่องดื่มในร้านราคาไม่ค่อยแพง แต่คุณภาพดีเลยทีเดียว และด้วยบรรยากาศสบายๆของร้านอิซากายะ นั่งคุยกับเพื่อนคือเพลินมากก บรรยากาศร้านอิซากายะ https://r.gnavi.co.jp/k678708/equipment/seat/ แล้วก็อีกอย่างที่เรากับเพื่อนชอบกัน คือ  ฮุคคา หรือคนญี่ปุ่นเรียกว่า ชิชา (ยาสูบชนิดหนึ่ง) ที่ญี่ปุ่นมีฮุคคาเลาจ์ถูกๆเยอะมาก ฮุคคาเลาจ์ส่วนใหญ่จะมีบรรยากาศร้านและสถาปัตยกรรมที่เหย้ายวน ชวนหลงใหล การได้มาเอนหลังบนโซฟา ฟังเพลงไปพลาง จิบเครื่องดื่มไปพลาง ทำให้ผ่อนคลายจนลืมความวุ่นวายของเมืองใหญ่ที่เพิ่งผ่านมาเลยทีเดียว ผู้คนมาผ่อนคลายในฮุคคาเลาจ์ http://kemulog.com/report/1338/          ชีวิตความเป็นอยู่ที่ญี่ปุ่นต่างจากที่เราเคยชินในบ้านเกิดมาก แต่ปกติแล้วเราก็จะใช้เวลาเรียน ทำงาน เข้าสังคม กินนอน เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆทั่วไป พอเวลาผ่านไปก็ปรับตัวได้และคุ้นชินกับวัฒนธรรม,ค่านิยมต่างๆของญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย สำหรับใครที่อยากลองมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น รับประกันเลยว่าเพื่อนๆจะได้รับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้จากประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน บทความนี้เขียนโดย Nina Patrick นีน่า แพทริค เกิดที่จังหวัดนารา,ประเทศญี่ปุ่น และใช้ชีวิตเติบโตที่สหรัฐอเมริกา หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย…
Read More
กว่าจะเป็น “นิสชิน” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลก

กว่าจะเป็น “นิสชิน” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลก

รีวิว, อาหารและเครื่องดื่ม
สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนน้า กลับมาพบกับแอดมิน S อีกแล้ว จากบทความก่อนหน้านี้ของแอด กว่าจะเป็นนิสิตอักษร แชร์ทุกกระบวนท่าเคล็ดลับสู่คณะที่ใฝ่ฝัน (แปะลิงก์สักหน่อยเผื่อมีเพื่อน ๆ สนใจ ☺) วันนี้แอดจะมาแบ่งปันเรื่องราวความน่าสนใจของ "นิสชิน" บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลก ผ่านรีวิวจากกิจกรรม "Nissin Ambassador" ที่กำลังจัดบนแอป Clear ในตอนนี้ เรื่องราวของ "นิสชิน" จะน่าสนใจขนาดไหน ถ้าพร้อมแล้วไปรับชมพร้อมกันเลย! (more…)
Read More
ประสบการณ์ที่ประทับใจในฤดูร้อนญี่ปุ่น

ประสบการณ์ที่ประทับใจในฤดูร้อนญี่ปุ่น

ข้อมูลเรียนต่อนอก, ภาษาญี่ปุ่น, เรียนภาษาญี่ปุ่น
ประสบการณ์ที่ประทับใจในฤดูร้อน ญี่ปุ่น โดย Roxane          คำเกริ่น           แม้ฤดูร้อนจะเป็นฤดูที่แดดร้อนระอุและมักมีแมลงออกมาคลานยั้วเยี้ย แต่ก็เป็นฤดูที่มีกิจกรรมสนุกสุดเหวี่ยงให้ทำมากมาย ถ้าน้อง ๆ คุณผู้อ่านได้ออกไปตะลุยเที่ยววันหยุดฤดูร้อนให้คุ้มเหมือนตอนที่ตะลุยทำแบบฝึกหัดในชั้นเรียนล่ะก็ เราเชื่อว่าน้อง ๆ จะได้ประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกประสบการณ์หนึ่งในการมาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน          ถ้าน้องคนไหนเคยมีประสบการณ์อยู่ที่เกาะฮนชู ประเทศญี่ปุ่นสักระยะ ก็คงจะรู้ว่าพอถึงฤดูร้อน ถึงคนญี่ปุ่นจะชอบบ่นร้อนอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะออกไปเที่ยวเล่นฉลองวันหยุดฤดูร้อนกันอย่างใจจดใจจ่อ แม้ตอนนี้ฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นจะจบลงไปแล้ว แต่เรามาดูความทรงจำดี ๆ ในฤดูร้อนกันดีกว่า จะได้เอาไว้ใช้เตรียมตัวเพื่อให้ฤดูร้อนปีหน้าสนุกมากขึ้น (แกล้ง ๆ หลับหูหลับตา ไม่คิดถึงข้อเสียของฤดูร้อน เช่น อากาศที่ร้อนระอุเหมือนอยู่ในห้องซาวน่า หรือแมลงตัวใหญ่ยักษ์ที่ชอบออกมาคลานไปมาตามพื้น) ภาพหนึ่งในตัวอย่างของแมลงยักษ์ที่น่ากลัวมากกก เราเห็นแล้วช็อกไปเลย555 (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)           ตอนนี้น้อง ๆ ผู้อ่านยังเป็นนักเรียนกันอยู่ แน่นอนว่าน้อง ๆ ก็ยังมีโอกาสที่จะตะลุยเที่ยวผจญภัยไปทั่วประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ ฤดูร้อนในประเทศญี่ปุ่นมีกิจกรรมที่อาจจะทำไม่ได้ถ้าเป็นฤดูอื่น ๆ เช่น ปีนเขา ตั้งแคมป์บนภูเขา หรือตะลุยกินอาหาร (ซึ่งจะราคาถูกกว่าฤดูอื่น ๆ และหาซื้อง่ายกว่าด้วย!) ถ้าน้อง ๆ เตรียมตัวไปดี ๆ และทำใจกับสภาพอากาศที่แปรปรวน แมลง หรือทัวร์นักท่องเที่ยวล้านแปดได้ รับรองว่าน้องจะได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าในฤดูร้อนญี่ปุ่นกลับมาอย่างแน่นอน           ต่อไปนี้จะเป็นประสบการณ์ที่เราประทับใจในช่วงฤดูร้อนประเทศญี่ปุ่น:          สารพัดงานเทศกาลที่จัดขึ้นมากมายละลานตา           ในฤดูร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานเทศกาลให้ไปเที่ยวเล่นตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะงานเทศกาลทุกประเภทที่เราจะนึกออก ตั้งแต่งานเทศกาลแบบดั้งเดิมหรือที่เรียกกันว่า夏祭り (Natsu Matsuri) ไปจนถึงงานเทศกาลเพลง ยันงานเทศกาลศิลปะ จะจัดขึ้นในช่วงนี้ เทศกาลคาชิวะ 2016 ถนนมักจะปิดให้คนเดินและเปิดร้านแผงลอย (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)           งานเทศกาลฤดูร้อนแบบดั้งเดิมจะจัดขึ้นในบางเมืองหรือบางเขต เช่น เทศกาลคาชิวะ หรือเทศกาลดอกไม้ไฟแม่น้ำซุมิดะ ซึ่งงานเทศกาลเหล่านี้มักจะมีร้านแผงลอยออกมาขายขนมและอาหารหลากหลายชนิด เช่น ทาโกะยากิ ยากิโซบะ นอกจากนี้ยังมีเกมให้น้อง ๆ เล่นเพื่อชิงรางวัลอีกด้วย ไฮไลท์ที่สำคัญของงานเทศกาลนี้ก็คือการแสดงโชว์ดอกไม้ไฟ เช่น โชว์ดอกไม้ไฟที่แม่น้ำซุมิดะที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจนคนเดินทางจากต่างจังหวัดเข้ามาชม           งานเทศกาลอีกประเภทหนึ่งที่พลาดไม่ได้คืองานเทศกาลเพลงที่มักจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อน โดยงานเทศกาลเพลงใหญ่ ๆ เช่น งานเทศกาลFuji Rock เทศกาลSummer Sonic มักจะมีศิลปินชื่อดัง เช่น Kendrick Lamer Bob Dylan ฯลฯ มาแสดง แม้เราจะไม่ค่อยรู้เรื่องวงการเพลงมากเท่าไร แต่ก็แนะนำว่าให้ลองไปดูสักงาน ถึงน้องจะไม่อินดนตรี แต่ก็คุ้มที่จะไปลองหาประสบการณ์ในงานเทศกาลเพลงของญี่ปุ่น Anderson Paak ในงานเทศกาล Fuji Rock 2018 (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)           จากที่เราได้ไปงานเทศกาล Fuji Rock 2018 งานนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในระยะเวลาที่เราอยู่ประเทศญี่ปุ่น แบบที่คิดว่าคงไม่มีวงไหนอีกแล้วที่จะทำให้น้อง ๆ เต้นได้มันสุดเหวี่ยงเท่าวง CHVCGES และวง…
Read More
5 วิธี เรียนภาษาญี่ปุ่นเองที่บ้าน

5 วิธี เรียนภาษาญี่ปุ่นเองที่บ้าน

GAT/PAT, Uncategorized, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ภาษาญี่ปุ่น, เรียนภาษาญี่ปุ่น
5 วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นเองที่บ้าน โดย Jackie Bumgarner น้องๆ คือคนหนึ่งที่ไม่รู้จะเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นยังไงดีรึเปล่า? หรือก็เคยเรียนมาบ้าง แต่ไม่รู้จะพัฒนาภาษาญี่ปุ่นของตัวเอง ให้เก่งขึ้นไปอีกระดับยังไง? มาลองดูเทคนิคกับเคล็ดลับที่จะช่วยให้การเรียนภาษาญี่ปุ่น กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันกัน ประสบการณ์ของผู้เขียน: เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนอยู่มัธยมปลาย โดยการเรียนวิชา ภาษาญี่ปุ่น1 ที่โรงเรียน (วิชาภาษาญี่ปุ่นระดับเริ่มต้น) เป็นการเรียนภาษาญี่ปุ่นคอร์สแรกและคอร์สเดียวจนกระทั่งตอนนี้ ความสามารถภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มีมาจากการเรียนด้วยตัวเอง และการใช้ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตจริงระหว่างไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัย เราเองไม่ได้คล่องภาษาญี่ปุ่นเลย เราพยายามรักษาสกิลภาษาญี่ปุ่นด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ช่วยให้ภาษาญี่ปุ่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยการพยายามฝึกภาษาญี่ปุ่นทุกวัน จะได้ใช้สมองคิดเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ยังพยายามพัฒนาตัวเองให้ใช้ภาษาได้หลากหลายขึ้นและเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย การเรียนภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเรา การเรียนภาษาใหม่เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะถ้าเรามีหน้าที่อื่นๆ ที่ต้องทำ อย่างการทำงานหรือการเรียน  ต่อไปจะขอแนะนำเทคนิคเล็กๆ น้อย ที่น้องๆ สามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้การเรียนภาษาใหม่เป็นเรื่องง่ายขึ้นและรู้สึกฝืนน้อยลง 5 วิธี ในการเรียนภาษาปุ่นเองที่บ้าน 1.ติดโน้ตไว้ที่สิ่งของในห้องหรือในบ้าน เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีมากในการดึงภาษามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเวลาอยู่บ้าน เราเอาโพสต์อิทแปะไว้ที่สิ่งของภายในบ้านแล้วเขียนชื่อภาษาญี่ปุ่นของสิ่งของนั้นไว้ วิธีนี้ทำให้เราต้องเจอภาษาญี่ปุ่นในทุกที่ของบ้าน ถ้าน้องๆ จำชื่อสิ่งของต่างๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ดีขึ้นแล้ว ลองพูดชื่อของเป็นภาษาญี่ปุ่นดังๆ เวลาที่หยิบมาใช้ ก็จะช่วยให้ตัวเราคุ้นกับชื่อภาษาญี่ปุ่นของสิ่งของต่างๆ ที่ใช้ในบ้านทุกๆ วัน 2.หาวิธีพูดภาษาญี่ปุ่นออกมาดังๆ เวลามีโอกาส หลายๆ คนตอนอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่น อาจจะไม่เคยออกเสียงคำตอนอ่านเลย แต่การพูดหรืออ่านออกเสียงเป็นกุญแจสำคัญมากๆ ในการเรียนภาษาใหม่ และน้องๆ จะต้องฝึกเท่านั้น ถึงจะพูดได้คล่องขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่อ่านหนังสือ เราก็ต้องพูดทุกคำทุกประโยค ให้ตัวเราได้ชินกับการพูดภาษาญี่ปุ่น 3.หาคนคุยภาษาญี่ปุ่นด้วย ขั้นตอนต่อไปที่จะทำให้น้องๆ ชินกับการพูดภาษาญี่ปุ่น คือการฝึกพูดกับคนอื่น การฝึกพูดกับคนอื่นจะช่วยให้น้องๆ ชินกับการพูดกับคนจริงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ วิธีนี้จะช่วยให้น้องๆ คุ้นชินกับบทสนทนาเร็วขึ้นกว่าการอ่านหนังสือคนเดียว 4.อ่านหนังสือที่เคยอ่านแล้ว เป็นฉบับภาษาญี่ปุ่น เทคนิคนี้จะได้ผลดีขึ้น ถ้าน้องๆ คุ้นกับตัวฮิรางานะ คาตาคานะ แล้วก็ตัวอักษรคันจิบ้างแล้ว เริ่มด้วยการเลือกหนังสือที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เคยอ่านแล้วในฉบับภาษาแม่หรือภาษาที่เราคล่อง เป็นพวกหนังสือนิทานเด็กอะไรแบบนี้ก็ดี ตอนที่เราลองวิธีนี้ เราอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ลองอ่านฉบับภาษาญี่ปุ่นหน้าแรกดู แล้วก็เขียนเนื้อหาทั้งหน้าลงสมุด เพื่อแปลเป็นภาษาของเราเอง เราว่ามันสนุกดีเพราะเราชอบอ่านหนังสือ แถมวิธีนี้เราหาข้อแตกต่างระหว่างฉบับภาษาญี่ปุ่นกับฉบับภาษาอื่นได้ด้วย 5.หมั่นทบทวน ทวนแล้วก็ทวนอีก ภาษาของเราจะไม่ดีขึ้นเลย ถ้าเราไม่ฝึกฝนสิ่งที่เรียนมาซ้ำๆ จนกว่าจะสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ดี ที่สำคัญคือ เราจะต้องไม่ยอมแพ้แล้วก็พยายามฝึกทุกวัน ถึงจะวันละ 5 นาที 10 นาทีก็ตาม น้องๆ จะเริ่มเห็นการพัฒนาของตัวเองถึงจะใช้เวลาบ้างก็ตาม แต่ก็จงอดทนแล้วพยายามเรียนทุกๆวัน ขอให้โชคดีจ้า หนังสือและแอปที่ช่วยในการเรียนภาษา Youtube ดูวิดิโอภาษาญี่ปุ่นใน Youtube เพราะการได้ยินคำต่างๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วลองพูดตามให้ตัวเองฟังก็ช่วยได้เยอะเลย รายการสัมภาษณ์ชาวญี่ปุ่นที่มีซับภาษาอังกฤษและตัวอักษรโรมาจิสำหรับคนเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ออกเสียงตามซับได้เลย ดูคลิปอื่นๆ ได้ที่: https://www.youtube.com/user/magauchsein Duolingo ดูรายละเอียดแอปฯ และดาวน์โหลดได้ที่: https://www.duolingo.com/ แอปฯ Duolingo เป็นแอปฯที่ทำให้เราเรียนภาษาผ่านโทรศัพท์ได้ เป็นแอปฯ ฟรีแล้วก็มีประโยชน์มากๆ ใช้เวลาเรียนแต่ละบทไม่นาน แถมเรียนตอนที่กำลังเดินทางอยู่ได้ด้วย หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น…
Read More