ตีแผ่เคล็ดลับการเรียน RM วงBTS

ตีแผ่เคล็ดลับการเรียน RM วงBTS

9วิชาสามัญ, English, GAT/PAT, O-NET, PAT7, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาที่3, ภาษาอังกฤษ, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, เรียนภาษาญี่ปุ่น
ตีแผ่เคล็ดลับการเรียน RM วงBTS            สวัสดีค่ะ ช่วงนี้น้อง ๆ หลายคนคงได้เห็นคลิปไอดอลวง BTS เป็นทูตวัฒนธรรมของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ไปขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงาน Sustainable Develoopment Goals Moment (SDG Moment) ของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 76 และได้เต้นเพลง Permission to Dance กลางที่ประชุมสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ประจำกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา https://www.youtube.com/watch?v=jzptPcPLCnA https://www.youtube.com/watch?v=jzptPcPLCnA https://www.youtube.com/watch?v=9SmQOZWNyWE https://www.youtube.com/watch?v=9SmQOZWNyWE             ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่วง BTS ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ โดยในครั้งแรกที่คิมนัมจุน ลีดเดอร์วง BTS ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในปี 2018 ก็ได้เรียกเสียงฮือฮาถึงความสกิลภาษาระดับเทพของนัมจุน ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนจึงจะขอมาตีแผ่ (จริง ๆ คืออยากมาอวย5555) วิธีเรียนของนัมจุนให้น้อง ๆ ลองเอาไปปรับใช้กันดู https://www.youtube.com/watch?v=oTe4f-bBEKg https://www.youtube.com/watch?v=oTe4f-bBEKg ประวัติการศึกษา             ก่อนที่จะมาพูดถึงวิธีการเรียนของนัมจุน เรามาดูโปรไฟล์การศึกษากันก่อนว่าเทพขนาดไหน จบการศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมปลายอัพกูจอง (Apgujeong High School) โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนเกียรตินิยมม.2 ทำคะแนนTOEIC ได้คะแนนสูง 850/990 คะแนน โดยต่อมาปี 2020 นัมจุนได้ลองสอบอีกครั้ง แล้วได้คะแนนสูงถึง 915/990คะแนน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคะแนนตอนม.2 หรือตอนปี 2020 ก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของคนเกาหลีที่จะอยู่ที่ 675 คะแนน (ส่วนคะแนนเฉลี่ยของทั้งโลกคือ 500 คะแนน)อายุ 15 ปี สอบวัดระดับความสามารถภาษาอังกฤษ TEPS (Test of English Proficiency) ได้คะแนน 797/990 คะแนน โดยอยู่ในเกณฑ์ 2+ (สูงสุดคือ 1+) ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงสำหรับเด็กอายุ 15 ปีติดท็อป 1.3% ของประเทศในการสอบเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ในวิชาภาษาเกาหลี คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ และสังคมศึกษาไอคิว 148 ซึ่งถือเป็นท็อป 0.1% ของประชากรทั้งโลก             หลังจากเห็นโปรไฟล์ความเก่งของนัมจุนแล้ว น้อง ๆ หลายคนคงอยากรู้เคล็ดลับการเรียนของนัมจุนกันแล้วใช่ไหมคะ งั้นเราไปดูกันเลย! 1. ฝึกภาษาด้วยการเสพซีรีส์ https://www.youtube.com/watch?v=IOuFE-6Awos https://www.youtube.com/watch?v=IOuFE-6Awos             นัมจุนได้ฝึกภาษาผ่านทางการดูซีรีส์เรื่อง Friends ซึ่งเป็นซีรีส์อเมริกันซึ่งมีมากถึง 10 ซีซั่น (เรียกได้ว่าดูกันจนตาแฉะเลย) โดยวิธีการฝึกภาษาของนัมจุนจะแบ่งการดูซีรีส์ออกเป็น 3 รอบ             รอบที่ 1: ดูด้วยภาษาแม่            …
Read More
แนะนำ 5 เว็บไซต์ฝึกอ่านภาษาญี่ปุ่น

แนะนำ 5 เว็บไซต์ฝึกอ่านภาษาญี่ปุ่น

GAT/PAT, PAT7, PAT7, Uncategorized, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ภาษาญี่ปุ่น, หนังสือ, เรียนภาษาญี่ปุ่น, แอป Clearnote
  สำหรับเพื่อนๆ ที่เรียนกำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ มีใครมีปัญหากับการอ่านภาษาญี่ปุ่นบ้างไหมคะ ?   การอ่านเป็นพาร์ทที่ต้องใช้ทั้งความรู้ด้านคำศัพท์ คันจิ ไวยากรณ์ ครบเลยทีเดียว เราเองก็เคยมีปัญหาในการอ่านภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกันค่ะ แค่เปิดหนังสือก็เรียกได้ว่ากำลังใจหดไปเสียแล้ว รู้สึกว่าเนื้อหาในหนังสือเรียนไม่สนุกเลยย    แต่แล้วเราก็ได้พบวิธีฝึกอ่านอย่างได้ผล และยังเพลิดเพลินไปกับการอ่านได้อีกด้วย จึงอยากจะมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ลองเข้าไปอ่านกันค่ะ นี่เลย ! เว็บไซต์สำหรับฝึกอ่านภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราจะแนะนำในครั้งนี้จะเป็นเว็บไซต์ที่สามารถเข้าไปอ่านกันได้แบบฟรีๆ เลยค่ะ ไปดูกันเลยย 1.MATCHA   MATCHA เป็นเว็บไซต์ที่มีบทความภาษาญี่ปุ่นมากมายให้เพื่อนๆ ได้เลือกอ่านกัน ซึ่งเราสามารถเลือกหมวดหมู่บทความตามความสนใจได้ด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะพูดถึงเรื่องต่างๆ ในญี่ปุ่น คล้ายๆ กับนิตยสารท่องเที่ยวค่ะ เลือกหวดหมู่ในแถบด้านซ้าย   ส่วนใครที่กังวลว่าไม่ถนัดคันจิเลย จะอ่านได้ไหมนะ ไม่ต้องกังวลไป ในบทความจะมีฟุริกานะกำกับไว้ด้านบนค่ะ เช่นบทความนี้เกี่ยวกับซูชิ ก็จะมีฟุริกานะกำกับทั้งบทความเลย แค่เห็นภาพก็หิวขึ้นมาแล้วค่ะ เราชอบอ่านเรื่องอาหารบนเว็บไซต์นี้ค่ะ อาหารในบทความน่ากินไปหมดเลย อ่านไปหิวไปค่ะ(ฮา) ตัวอย่างบทความบนเว็บไซต์ MATCHA นอกจากนี้ยังมีภาษาอื่นๆ ให้เลือกอ่าน รวมไปถึงภาษาไทยด้วยค่ะ โดยกดเลือกได้ตรงด้านล่างเว็บไซต์ค่ะ แถบกดเลือกภาษา อ่านได้ที่นี่ 👉 https://matcha-jp.com/easy 2.Hukumusume   สำหรับเว็บไซต์Hukumusume จะรวมนิทานต่างๆ เช่น นิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นสมัยต่างๆ นิทานอีสป นิทานจากรอบโลก หรือเนื้อหาเรื่องราวที่มักจะเน้นไปทางเนื้อหาสำหรับเด็ก โดยมีทั้งแบบ ฮิรากานะล้วน หรือแบบฟุริกานะกำกับคันจิ และแบบไม่มีฟุริกานะ ตัวอย่างนิทานในเว็บไซต์ Hukumusume   บางเรื่องมีคำแปลภาษาอังกฤษด้วยนะ นอกจากนี้เพื่อนๆ ยังสามารถฝึกฟังไปได้ด้วย เพราะส่วนใหญ่แล้วมีไฟล์เสียงประกอบค่ะ   คนที่ยังอ่านไม่คล่องก็ฝึกอ่านได้ง่าย ถึงจะเป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่ก็อ่านเพลินมากเลยค่ะ อ่านได้ที่นี่ 👉 http://hukumusume.com/douwa/index.html 3.NHK Web Easy   หลายๆ คนอาจจะคุ้นชื่อ NHK news ของญี่ปุ่นกันใช่ไหมล่ะคะ ทาง NHK นอกจากจะลงข่าวตามปกติแล้ว ยังมีเว็บไซต์สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาภาษาญี่ปุ่น โดยจะเป็นข่าวต่างๆ ในภาษาญี่ปุ่นที่เข้าใจง่ายค่ะ ตัวอย่างข่าวจากเว็บไซต์ NHK Web Easy ในข่าวมีฟุริกานะประกอบ นอกจากนี้ยังงมีคำอธิบายประกอบคำศัพท์ในบทความเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยค่ะ และมีสีตัวอักษรที่บ่งบอกชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อบุคคล ชื่อสถานที่อีกด้วย สะดวกมากๆเลย อ่านได้ที่นี่ 👉 https://www3.nhk.or.jp/news/easy/ 4.Yomujp   เว็บไซต์นี้เนื้อหาบทความจะคล้ายกับเว็บไซต์ MATCHA แต่ Yomujp จะแบ่งเนื้อหาตามระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT ค่ะ มีตั้งแต่ N5-N1 ขึ้นไปเลยย ตัวอย่างบทความจากเว็บไซต์ Yomujp เว็บไซต์นี้ก็มีเสียงประกอบด้วยนะ อ่านได้ที่นี่ 👉 https://yomujp.com/ 5.monogatary   เว็บไซต์นี้แนะนำสำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมามากพอตัวแล้ว อยากเริ่มอ่านเนื้อหาที่ยากขึ้นมาหน่อย แต่ก็สามารถอ่านอย่างเพลิดเพลินได้อย่างไม่เครียด   monogatary เป็นเว็บไซต์รวมนิยายสั้นๆ จึงอ่านจบได้อย่างไม่เบื่อและไม่ยากจนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มขยับไปอ่านเนื้อหาที่คนญี่ปุ่นอ่านกันจริงๆ มีการใช้ภาษาที่สละสลวยขึ้น…
Read More
ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!

ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, ภาษาไทย, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า?!   สวัสดีจ้าทุกคน วันนี้ก็มาพบกับบล็อกของ Clearnote กันอีกแล้วนะ ช่วงสอบแบบนี้น้องๆ หลายคนอาจจะเบื่อๆ เหนื่อย ไม่มีแรงอ่านหนังสือ น้องๆ บางคนก็อาจจะหาเพลงมาเปิดระหว่างอ่านหนังสือ จะได้มีสมาธิอ่านหนังสือมากขึ้น แต่การฟังเพลงของอ่านหนังสือช่วยให้อ่านหนังสือรู้เรื่องขึ้นจริงรึเปล่านะ? บล็อก Clearnote ของเราวันนี้จะพาไปดูกัน! ตกลงฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ช่วยให้เรียนดีขึ้นไหม?    การฟังเพลง (โดยเฉพาะเพลงที่ชอบ) ช่วยให้รู้สึกดีขึนจริง เพราะพอน้องๆ ฟังเพลงสมองจะหลั่งสารโดปามีนออกมา ช่วยให้มีความสุข รู้สึกผ่อนคลาย และช่วยให้รู้สึกเครียดน้อยลง   แต่เมื่อเราฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ สมองจะรับรู้ว่าเพลงไปด้วย ทำให้สมองแก้ปัญหาหรือเรียกสิ่งที่จำไว้ออกมาใช้ได้น้อยลง(อาการนึกไม่ค่อยออก) เพราะสมองกำลังประมวลผลเพลงที่เราฟังไปด้วยไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ (นึกถึง CPU คอมที่อาจจะร้อนๆ ค้างๆ ถ้าเราเปิดเกมหลายเกมพร้อมกัน)   เพราะฉะนั้นก็อาจพูดได้ว่า อ่านหนังสือแบบเงียบๆ อาจจะดีกว่าถ้าเทียบกับอ่านโดยเปิดเพลงไปด้วยนะ! (แต่อาจต้องใช้พลังใจในการอ่านมากหน่อย เพราะต้องพยายามไม่เบื่อ ไม่หลับ) แล้ว Mozart effect ล่ะ ตกลงเป็นเรื่องจริงรึเปล่า   Mozart effect หรือความคิดที่ว่าการฟังเพลงของ Mozart ช่วยให้ฉลาดขึ้น ช่วยให้เรียนดีขึ้น หรือคุณแม่ที่ท้องควรเปิดเพลงของ Mozart ให้เด็กฟัง จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี ฉลาดขึ้นนั่นเอง   แล้วเจ้า Mozart effect นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?   คำตอบ คือ ไม่จริงจ้า (แป่ว) การฟังเพลงของ Mozart หรือเพลงคลาสสิคไม่ได้มีประโยชน์มากกว่าเพลงของศิลปินคนอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญอะไรเลย ประโยชน์ก็เหมือนกับเพลงอื่นๆ ทั่วไปคือช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นเฉยๆ งั้นฟังเพลงตอนไหนถึงจะดี   ถึงแม้งานวิจัยจะบอกว่าการฟังเพลงระหว่างอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน จะทำให้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา (เช่น แก้โจทย์เลข) ลดลง และเรียกซึ่งที่จดจำไว้ออกมาใช้ได้น้อยลงทำ   แต่การฟังเพลงระหว่างช่วงพักเบรคก็ยังให้ผลดีอยู่นะ เพราะทำให้สมองหลั่งโดปามีนอย่างที่บอกไป ช่วยให้มีความสุข ผ่อนคลาย ช่วยเปลี่ยนอารมณ์ที่เบื่อๆ ง่วงๆ เพราะอ่านหนังสือได้ดีเลย ทำให้มีแรง มีไฟกลับมาอ่านหนังสือต่อได้ดีขึ้นกว่าพักเฉยๆ เบื่อๆ ถ้าอยากฟังเพลงตอนเรียน ควรฟังเพลงแบบไหน   ถ้าน้องๆ ยังอยากฟังเพลงตอนเรียน เพราะเบื่อไม่ไหวจริงๆ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cambridge บอกว่า น้องๆ ควรฟังเพลงช้า ใช้คอร์ดไมเนอร์ในเพลงและให้ความรู้สึกเศร้าๆ นิดหน่อย เช่น  prelude in E major ของ Chopin https://www.youtube.com/watch?v=CU9RgI9j7Do   นอกจากนี้เพลงไม่มีเนื้อร้องก็ไม่รบกวนสมาธิระหว่างอ่านหนังสือมากเท่ากับเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง แต่ถ้าน้องๆ ไม่ได้ชอบเพลงบรรเลงก็ไม่ต้องฝืนฟังนะ เดี๋ยวจะได้ผลตรงกันข้าม ถ้าน้องๆ ชอบเพลงที่มีคำร้อง อาจจะลองเปลี่ยนไปฟังเวอร์ชั่น off-vocal ดู ก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน ยังได้ฟังเพลงที่ชอบโดยไม่รบกวนสมาธิ   หรือถ้าไม่มีศิลปินที่ชอบเป็นพิเศษก็อาจลองค้นหาใน Youtube หรือ Spotify ว่า "Music for study" ดูก็อาจจะเจอเพลงที่เหมาะกับการเรียนก็ได้นะ!   สรุปแล้ว การฟังเพลงก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง อาจจะขึ้นอยู่กับตัวน้องๆ…
Read More
Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป

Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป

9วิชาสามัญ, English, GAT, GAT ENG, GAT/PAT, O-NET, PAT1, PAT2, PAT7, TCAS, Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค
  Pomodoro Technique เทคนิคที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่ล้าอีกต่อไป          สวัสดีค่ะ น้อง ๆ ทุกคน ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ คนอาจเหนื่อย ๆ เพลีย ๆ เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลกัน  แต่บางครั้งคงรู้สึกกันว่าถึงอ่านหนังสือหนัก เรียนหนักแล้ว แต่เนื้อหาก็ไม่เข้าหัว เบลอ ๆ ไปทำข้อสอบ ทำสอบ คะแนนก็ไม่ดี ไม่คุ้มกับเวลาที่อ่านหนังสือไป           วันนี้ผู้เขียนเลยจะมาแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้น้อง ๆ อ่านหนังสือหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ล้าอีกต่อไป นั่นก็คือ Pomodoro Technique           Pomodoro Technique คืออะไร?           น้อง ๆ คุณผู้อ่านหลาย ๆ คนอาจไม่คุ้นชื่อกับPomodoro Technique ดังนั้นผู้เขียนขออธิบายที่มาที่ไปของเทคนิคนี้ง่าย ๆ ว่าเทคนิค Pomodoro เป็นเทคนิคการบริหารเวลาที่คิดค้นขึ้นมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อ Francesco Cirillo ซึ่งตอนนั้นเขาที่กำลังหาทางที่จะทำให้ตัวเองเรียนและทำงานให้เสร็จภายใต้เงื่อนไขเวลาที่จำกัด จนไอเดียก็มาปิ๊งตอนที่ Cirillo ได้เจอนาฬิกาจับเวลารูปมะเขือเทศที่ห้องครัว ทำให้ไป ๆ มา ๆ ก็เกิดเทคนิค Pomodoroนี้ขึ้นมา (Pomodoro แปลว่า มะเขือเทศ ในภาษาอิตาลี)           โดยเทคนิคPomodoro เป็นเทคนิคการบริหารเวลาที่จะแบ่งช่วงเวลาทำงานหรืออ่านหนังสือออกเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 25 นาที โดยในแต่ละช่วงจะมีช่วงพัก 5 นาที ซึ่งCirillo เชื่อว่าการทำแบบนี้จะทำให้สมองสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ล้าจนเกินไป           How to อ่านหนังสือด้วยเทคนิค Pomodoro           1. ให้เขียน list หนังสือ แบบฝึกหัด หรืองานที่เราต้องทำ           2. ตั้งนาฬิกาจับเวลา 25 นาที และระหว่างนั้นให้ตั้งใจอ่านหนังสือหรือทำงานตามแผนจนกว่าจะครบ 25 นาที ถือว่าจบ 1 เซ็ต           3. พัก 5 นาที (จะเดินไปดื่มน้ำ กินขนม เล่นกับน้องหมาน้องแมว หรือยืดเส้นยืดสายก็ได้ตามใจชอบ แต่ไม่แนะนำให้เล่นโซเชียลหรือเล่นเกม เพราะอาจยาว555)           4. กลับไปอ่านหนังสืออีก 25 นาที ทำวนข้อ2 3 ให้ครบ 4 เซ็ต           5. เมื่อครบ 4 เซ็ตแล้ว…
Read More
เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, รีวิว, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, สุขภาพและความงาม, แอป Clearnote
  พอเปิดหนังสือเรียนทีไรก็ง่วงตลอดเลย จะสอบแล้วแท้ๆ อุตส่าห์พยายามอ่านหนังสือ แต่หนังตาก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เคยประสบปัญหานี้กันไหมคะ?  วันนี้ Clearnote มีวิธีดีๆ ในการรับมือกับความง่วงมาแบ่งปันกันค่ะ ไปดูกันเลยย 1.งีบสักนิดก่อนเรียน   อาการง่วงระหว่างเรียน ส่วนใหญ่แล้วมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอ เผลอดูซีรี่ย์นานไปนิด รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากเสียแล้ว ในกรณีแบบนี้ การงีบเอาแรงสักนิดจะดีกว่าค่ะ การงีบจะทำให้สมองเราปลอดโปร่งขึ้น การเรียนก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ แต่อย่างไรตาม อยากให้ระวังเรื่องเวลากันไว้สักหน่อยนะคะ เพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ หากงีบนานเกินไปอาจจะง่วงกว่าเดิมเอาได้นะคะ 2. ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนดู   หากอ่านวิชาเดิมซ้ำไปมา สมองจะอ่อนล้าและหัวไม่แล่นเป็นที่แน่นอน ทำให้เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนตามมา ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนเช่น อ่านเนื้อหาที่เน้นความจำ (อังกฤษ, ไทย, สังคม เป็นต้น) จากนั้นผลัดมาทบทวนวิชาคำนวณ (คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น) ช่วยให้ง่วงน้อยลงได้ค่ะ 3. ล้างหน้า แปรงฟันเพิ่มความสดชื่น   ถ้าเริ่มรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วว ตาจะปิดแล้ว น้ำเย็นสดชื่อนอาจช่วยได้ค่ะ ลองลุกไปล้างหน้าดู ช่วยให้รู้สึกสดชื่น และหายง่วงขึ้นได้ค่ะ หรืออาจจะแปรงฟันด้วยหากมีเวลา เป็นวิธีที่ให้ผลดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ 4. เปลี่ยนที่เรียน   บางทีการเรียนในห้องตนเองอาจทำให้ตั้งสมาธิได้ยากขึ้น เพราะว่ามีสิ่งเร้าที่จะทำให้เราวอกแวกได้ง่ายนั่นเอง ลองย้ายไปเรียนในที่ ที่เหมาะสมกับการเรียนมากขึ้น จะช่วยให้เรามีสมาธิจดจ่อมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าตรงนั้นเป็นที่สำหรับเรียน เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วเราจะต้องเรียนนั่นเอง 5. ยืดเส้นยืดสาย   การนั่งเรียนเป็นเวลานานไป กล้ามเนื้อของเราก็ตึงตามไปด้วย ส่งผลให้เราง่วงขึ้นไปด้วยค่ะ เราอาจพักระหว่างเรียนมายืดเส้นยืดสายกันซักนิด ให้เลือดได้ไหลเวียน อาจเดินไปเดินมาในห้อง หรือยืดหลังง่ายๆ เป็นต้น ทำให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้นค่ะ 6. พูดคุย หรือถามคำถาม   การเรียนเงียบๆ คนเดียว ทำให้เกิดอาการง่วงได้ง่ายใช่ไหมล่ะคะ ลองหาเพื่อนเรียนด้วยกัน ทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไปด้วยกัน หรือหากมีอาจารย์อยู่ด้วย ก็ลองถามคำถามดูบ้าง การได้ส่งเสียงออกมาทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นค่ะ ไม่ง่วงแน่นอนน   วิธีเหล่านี้น่าจะทำให้ทุกคนหายง่วงระหว่างเรียนกันได้นะคะ แต่อย่างไรก็ตาม การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เมื่อร่างกายเราแข็งแรงพร้อมต่อการเรียน การเรียนรู้ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ Clearnote เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ Reference ข้อมูลจาก https://www.eikoh-seminar.com/koukoujuken/column/p7184/
Read More
จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ

จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, TCAS, Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
จดยังไงให้ปังพร้อมสอบ: รวม 5 วิธีจดโน้ตเตรียมสอบ   เคยเป็นกันไหม?   จดโน้ตไม่ทันที่อาจารย์พูด หรือจดแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่สวยไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้ว่าตัวเองจดอะไร ทำเอาไม่อยากอ่านโน้ตที่ตัวเองจดไว้เลย...   เชื่อว่าน้องๆ หลายคนอาจจะเคยเจอปัญหาแบบนี้(เพราะคนเขียนก็เคยเป็นบ่อยๆ) แถมช่วงนี้เป็นช่วงสอบปลายภาคอันแสนน่าปวดหัว วันนี้ Clearnote เลยขอแนะนำ 5 วิธีจดโน้ตให้สวยปัง เป็นระเบียบน่าอ่าน เตรียมพร้อมสอบให้น้องๆ ได้นำไปใช้กันได้เลย! 1.วิธีจดโน้ตแบบ Cornell (The Cornell Method)   วิธีจดโน้ตแบบ Cornell เป็นวิธีจดโน้ตที่พัฒนาขึ้นโดย Dr.Walter Pauk หัวหน้าศูนย์การเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย Cornell สหรัฐอเมริกา   วิธีการจดโน้ตแบบ Cornell เริ่มจากการแบ่งหน้ากระดาษของน้องๆ เป็น 3 ส่วน ด้านซ้ายของหน้ากระดาษ: แบ่งเป็นพื้นที่ยาวๆ จนเกือบสุดหน้ากระดาษ ส่วนนี้เอาไว้จด​ Keyword ของเนื้อหาด้านขวาของหน้ากระดาษ: แบ่งเป็นพื้นที่ยาวๆ จนเกือบสุดหน้ากระดาษเช่นกัน แต่ให้กว้างกว่าด้านซ้ายประมาณ 2 เท่า (สัดส่วนประมาณ 2/3) ส่วนนี้เอาไว้จดเนื้อหาตอนเรียนในคาบท้ายหน้ากระดาษ: ส่วนท้ายของหน้ากระดาษ เอาให้เขียนได้ประมาณหนึ่ง (3-4 บรรทัด) ส่วนนี้เอาไว้สรุปเนื้อหาในส่วนด้านขวาอย่างสั้นๆ   เวลาที่เราเรียนในคาบ ให้จดเนื้อหาที่อาจารย์สอนลงในด้านขวาของกระดาษ จากนั้นให้เราทวนเนื้อหาให้เข้าใจ จากนั้นเขียน Keyword ของเนื้อหาในด้านขวาลงในช่องด้านซ้าย จากนั้นเวลาจะทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปอีก ก็ให้ใช้กระดาษหรือสมุดอะไรก็ได้มาบังด้านขวาของกระดาษเอาไว้ ให้เห็นแต่เพียง Keyword ฝั่งซ้าย แล้วก็พยายามพูด อธิบายเนื้อหาในหน้ากระดาษฝั่งขวาเอาไว้เท่าที่ทำได้ ถ้ายังจำไม่ได้ก็ลองอ่านเนื้อหาฝั่งขวาอีกรอบ วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจำได้ สุดท้ายก็จดสรุปสั้นๆ ลงในช่องท้ายหน้ากระดาษ   วิธีการจดโน้ตแบบนี้จะเหมาะกับน้องๆ ที่ต้องจดโน้ตในห้องเรียน แล้วอยากกลับมาทบทวนทีหลังได้ง่ายๆ มีระเบียบ สวยงาม ไม่งง https://www.youtube.com/watch?v=Qyj6ZeL-eHc 2.วิธีจดโน้ตแบบเป็นประโยค (The Sentence Method)   วิธีการจดโน้ตแบบเป็นประโยคคือการจดโน้ตแบบเป็นข้อๆ ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ไปเรื่อยๆ โดยแต่ละข้ออยู่ในลักษณะประโยคสั้นๆ ที่มีใจความหลักเพียงอย่างเดียว ขอบคุณข้อมูลเรื่องดวงอาทิตย์จาก สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เรื่องที่ 1 ดวงอาทิตย์ สำหรับเด็กระดับกลาง   วิธีการจดโน้ตแบบเป็นประโยคทำให้เราอ่านโน้ตได้ง่ายกว่าการจดเป็นย่อหน้า เพราะแต่ละข้อจะมีเลขข้อแบ่งย่อยๆ ตลอด และมีแค่ใจความหลักแค่หนึ่งเดียว ทำให้จับใจความได้ง่ายกว่าและไม่สับสน   แต่วิธีจดแบบนี้ก็มีข้อเสียคือ แยกได้ค่อนข้างลำบากว่าข้อไหนเป็นหัวข้อใหญ่หรือหัวข้อย่อย และเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างไร อาจทำให้ทบทวนยากในบางกรณี   วิธีนี้เหมาะกับเวลาที่อาจารย์พูดเร็วมากๆ แต่เนื้อหาที่พูดค่อนข้างเป็นระเบียบอยู่แล้ว ไม่ได้กระโดดข้ามไปมาหรือเปลี่ยนหัวข้อกลางทางกระทันหัน หากใช้วิธีนี้ก็จะทำให้เราจดตามอาจารย์ทัน 3.วิธีจดโน้ตโดยใช้Outline (The Outlining Method)   วิธีจดโน้ตโดยใช้ Outline คือการจดโดยที่ - หรือ dash หรือตัวอักษร ตัวเลขเพื่อบอกว่าอะไรคือหัวข้อ โดยจดให้หัวข้อใหญ่ด้านบนซ้ายสุด…
Read More

แชร์เคล็ดลับกับการสอบ Open book

Uncategorized
สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ ยังไงช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่น้อง ๆ ทุกคนมักจะมีการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์และที่สำคัญไปกว่านั้นส่วนใหญ่แล้วรูปแบบการสอบในช่วงนี้ก็จะเป็นในรูปแบบของออนไลน์ไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วจึงบอกได้เลยว่าน้อง ๆ ส่วนใหญ่กำลังชะล่าใจไม่ยอมอ่านหนังสือเพราะเชื่อว่าอย่างไรอาจารย์ก็คงจะให้สอบแบบ Open book อยู่ดี หลาย ๆ คนเลยเลือกที่จะไม่จำเนื้อหาต่าง ๆ ให้ปวดหัวและไปหวังพึ่งความเร็วในการเปิดหนังสือแทน แต่ก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะคะว่าสิ่งที่น้อง ๆ ชะล่าใจกันอยู่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย  สำหรับบทความนี้เราก็จะพาทุก ๆ คนไปดูกันว่า การทำข้อสอบแบบ Open book นั้นมีเทคนิคอย่างไรกันบ้าง และมีความแตกต่างจากการสอบในรูปแบบปกติอย่างไรกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ การสอบแบบ Open book คืออะไร การสอบแบบ Open book ถ้าแปลแบบตรงตัวก็คือการสอบแบบสามารถเปิดหนังสือได้ในระหว่างการสอบ พ่ออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนก็คงจะคิดว่าการสอบแบบ Open book นั้นง่ายเพราะว่าไม่ต้องจำเนื้อหาอะไรมากแต่แท้จริงแล้วการสอบแบบ Open book นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจนะคะเพราะว่าในความเป็นจริงแล้วมันยากกว่าการสอบแบบปิดหนังสือเรียนเสียอีกค่ะ เพราะส่วนมากแล้วข้อสอบแบบ Open book นั้นจะเป็นข้อสอบที่วัดความเข้าใจของตัวผู้เรียนเป็นหลัก ตัวโจทย์ส่วนมากก็เลยมีแนวโน้มที่จะเน้นการวิเคราะห์ของตัวผู้เรียนไปด้วย แล้วยิ่งไปกว่านั้นเองหากเราหวังว่าเราจะดวงดีสามารถเปิดหาคำตอบของคำถามได้ภายในระยะเวลาตอบสั้นๆนั้นขอบอกได้เลยว่าคิดผิดค่ะ เพราะโดยส่วนมากแล้วหนังสือและตำราเรียนส่วนมากก็จะมีจำนวนหน้าประมาณ 200-300 หน้าโดยเฉลี่ยอยู่แล้วหากเราไม่ได้ทำความคุ้นชินกับหนังสืออย่างดีพอเราก็จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าคำตอบของสิ่งที่โจทย์ถามนั้นอยู่ส่วนไหนของหนังสือค่ะ ดังนั้นวันนี้ดิฉันจึงขอมาแชร์เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบแบบ Open book ให้กับน้องๆได้ฟังและได้นำไปปรับใช้กันดูนะคะ  เคล็ดลับที่ 1 ต้องอ่านตัวบทให้จบ ก่อนวันสอบ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เลยที่ไหลคนชล่าใจในช่วงสอบนะคะซึ่งก็คือการละเลยไม่อ่านหนังสือในช่วงสอบข้อคิดว่าอย่างไรก็ตามที่ครูให้เปิดหนังสือแล้วก็สามารถหาคำตอบได้จากหนังสือที่เรามีตรงหน้าได้อยู่แล้วแต่ขอบอกเลยนะคะว่าในการสอบนั้นเรื่องเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะส่วนมากแล้วการสอบต่าง ๆ มักจะกำหนดเวลามาไม่เกินชั่วโมงอยู่แล้วและถ้าเกิดว่าเราทำส่งไม่ทันก็อาจจะต้องได้คะแนนน้อยหรือตกวิชานั้นไปเลยนะคะ เพราะฉะนั้น เราควรใช้เวลาที่เรามีจากการเรียนออนไลน์มานั่งอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนโดยควรที่จะทำสรุปไปพลางกับการอ่านหนังสือนั้น ๆ ด้วย หรือถ้าบางคนรู้สึกขี้เกียจมากก็อาจจะใช้วิธีการไฮไลท์หรือแปะโพสอิทหาสาระสำคัญเฉพาะหน้าที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความสำคัญก็ได้ค่ะ  เพื่อให้เราพอที่จะรู้ว่าสาระสำคัญของเนื้อหาบทนี้อยู่ที่นั่นนี้นั่นเองค่ะเวลาที่เราจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหานั้นๆจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเปิดหากันจ้าละหวั่นนั่นเองค่ะ เคล็ดลับที่ 2 ทำสารบัญแยกสำหรับเนื้อหาสำคัญ เมื่อเราอ่านตัวตำราของเราเสร็จแล้วระหว่างนั้นเราก็ควรที่จะทำสารบัญแยกว่าเนื้อหาสำคัญที่น่าจะออกข้อสอบนั้นอยู่ที่ด้านในของตัวหนังสือบ้างและทำการจดโน๊ตลงไปเช่น หน้าที่ของพืช…หน้า 3,6,9 และอาจจด Keyword สำคัญคร่าว ๆ ลงบน สารบัญนั้นๆด้วยก็ได้ค่ะเผื่อหลายคนลืมว่าแต่ละเรื่องมีสิ่งสำคัญอะไรบ้าง การที่ทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถจัดหมวดหมู่เนื้อหาที่มีความสำคัญได้อย่างเป็นระบบและช่วยประหยัดเวลาในการหาเนื้อหาระหว่างสอบได้อีกด้วยนั่นเองค่ะ เคล็ดลับที่ 3 ควบคุมเวลาการเปิดหนังสือ อย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่าในการสอบแบบ Open book นั้นมักจะมีเวลาที่ค่อนข้างจำกัดในการสอบทำให้นักเรียนหลายคนทำข้อสอบไม่ทันและอาจไม่สามารถส่งข้อสอบได้ตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้แล้วอย่าลืมนะคะว่าการส่งข้อสอบออนไลน์นั้นเราต้องเผื่อเวลาเผื่อความผิดพลาดหรือปัญหาทางเทคนิคอื่น ๆ อีกเช่นสัญญาณเน็ต หรือคอมค้าง ดังนั้นขอแนะนำให้ทุกคนนะคะว่าควรที่จะมีนาฬิกาจับเวลาไว้ข้าง ๆ ตัวตอนสอบอยู่เสมอและเผื่อเวลาสักประมาณ 15 นาทีในการตรวจทานคำตอบและจัดเตรียมไฟล์ในการส่งข้อสอบค่ะ  เคล็ดลับที่ 4 เตรียมเนื้อหาที่นอกเหนือจากหนังสือ อันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะก็คือว่าในเมื่อเราพอจะเกรงแนวข้อสอบได้แล้วว่าอาจารย์จะออกข้อสอบประมาณไหนเราก็ควรที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่เราเรียนไปด้วยนั่นเองค่ะเพื่อแสดงว่าเรามีความทุ่มเทและความพยายามต่อการเรียนมากเพียงไหนเราจึงควรที่จะเตรียมเนื้อหาสำรองไปตอบในข้อสอบด้วยก็ได้ค่ะ แต่เราจะต้องแน่ใจนะคะว่าเนื้อหานอกห้องเรียนที่เราต่อไปนั้นมีความสอดคล้องและไม่ไปขัดแย้งกันเองกับตัวเนื้อหาที่อยู่บนตำราเรียนของเราค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับบทความนี้ หวังว่าทุก ๆ คนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการสอบแบบ Open book ไปไม่มากก็น้อยและสำหรับการสอบกลางภาคและปลายภาคนี้ก็ขออวยพรให้ทุกๆคนทำข้อสอบได้อย่าง ที่ได้เตรียมตัวมาและได้คะแนนตามที่ใฝ่ฝันนะคะสำหรับวันนี้ทางเราก็อยากจะฝากไว้เพียงเท่านี้ขอบคุณค่ะแล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า
Read More
4 เทคนิคอัพสกิลภาษาที่ 3 แบบก้าวกระโดด ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้

4 เทคนิคอัพสกิลภาษาที่ 3 แบบก้าวกระโดด ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้

English, GAT, GAT ENG, GAT/PAT, PAT7, ข้อมูลเรียนต่อนอก, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาที่3, ภาษาอังกฤษ, เรียนภาษาญี่ปุ่น
4 เทคนิคอัพสกิลภาษาที่ 3 แบบก้าวกระโดด ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้           สวัสดีค่ะ เชื่อว่าน้อง ๆ ที่คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้หลาย ๆ คนคงกำลังเรียนภาษาที่ 3 อยู่ใช่ไหมคะ และก็เชื่อว่ามีหลายคนที่รู้สึกว่าพอเรียนไปสักพักแล้วก็รู้สึกว่าทำไมสกิลเรานิ่งจัง มันไม่ค่อยพัฒนาเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วปัญหานี้เป็นปัญหายอดฮิตของผู้เรียนภาษาที่ 3 เลยก็ว่าได้ ดังนั้นวันนี้ผู้เขียน ซึ่งอยู่ในฐานะคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ 3 อยู่ ก็ขอแชร์เทคนิคง่าย ๆ ที่ เราใช้แล้วรู้สึกว่าเวิร์กมาให้น้องทุก ๆ คนลองปรับใช้ดู รับรองได้ว่าทำแล้วสกิลภาษาพุ่งขึ้นรัว ๆ แน่นอน เทคนิคที่ 1 : เปลี่ยนสื่อที่เสพทุกอย่างเป็นภาษานั้น ๆ           วิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้เขียนทำแล้วเวิร์กที่สุด โดยวิธีทำก็ตามชื่อเลยก็คือให้น้อง ๆ เปลี่ยนสื่อที่ตัวเองเสพอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เพลง ละคร หนัง เกม นิยาย Youtube หรือแม้แต่Twitter เป็นสื่อภาษาที่เราเรียนอยู่ น้อง ๆ หลายคนอาจรู้สึกเอียน รู้สึกว่าเรียนจากในชั่วโมงมาตั้งเยอะแล้ว นอกชั่วโมงเรียนยังต้องมาเจอภาษานี้อีกเหรอ แต่เราขอบอกเลยว่าถ้าทำแล้ว สกิลภาษาของน้อง ๆ จะก้าวกระโดดไม่ได้เยอะมาก ๆ ค่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงเรื่อง Input Hypothesis เอาไว้ในบทความ เคล็ดลับการหาหนังสือภาษาอังกฤษที่เหมาะกับตัวเอง ภายใน 5 นาที (ขออนุญาตขายของ 5555) ว่าสิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาที่ 2 (หรือ 3 4 5 ฯลฯ) คือการรับข้อมูล หรือInput เข้ามา โดย Inputที่จะทำให้การเรียนรู้ภาษามีประสิทธิภาพนั้น นอกจากจะต้องมีความยากพอดี ระดับความยากไม่มากกว่าความรู้ของผู้เรียนมากจนเกินไป (i+1)แล้ว Inputนั้นยังต้องมีจำนวนมากด้วย           ดังนั้นการที่เราเปลี่ยนสื่อที่ตัวเองเสพอยู่ (ซึ่งการเสพหรือรับเข้ามาก็คือ Input) เป็นภาษาที่เราเรียนอยู่ ก็จะทำให้เรามีโอกาสที่ได้ Input กลับไปเป็นจำนวนมาก           นอกจากนี้การเรียนรู้ภาษาผ่านทางสื่ออื่น ๆ นอกหนังสือเรียนก็จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการใช้ภาษานั้น ๆ แบบเป็นธรรมชาติแบบฉบับnative เพราะบางครั้งสิ่งที่เราเรียนจากหนังสือเรียนก็อาจเป็นทางการหรือเจ้าของภาษาไม่ค่อยได้ใช้ https://www.tiktok.com/@imsparkzz/video/6922049372511390978?_d=secCgYIASAHKAESPgo89%2BwjJ5E7Idfy0L0WR%2FNHfy9vF%2F9baLhpig8%2FRqxx7DZW1ng9nx28WRUA5eHeQlPqv1LR5zKAwMY9qbw1GgA%3D&checksum=424d745ad9ab797f3a7a75e63f641450c04f0ee1e80826fb18c6b13c5d8616c6&language=en&mid=6922049369302633218&preview_pb=0&region=TH&sec_user_id=MS4wLjABAAAAK7vZnk5YLELH6erulTW6KLahqCy1_Q1eLZBRSlE-QV32FLd3jdQOA0_6IOo4RrsY&share_app_id=1180&share_item_id=6922049372511390978&share_link_id=394F99C0-C04E-437E-B63B-29D3D8E3991D&source=h5_t&timestamp=1632205311&tt_from=copy&u_code=df3ekb71ki7m4a&user_id=6884667380674855937&utm_campaign=client_share&utm_medium=ios&utm_source=copy&_r=1 https://www.tiktok.com/@michaela_sato/video/7004091252979322114?_d=secCgYIASAHKAESPgo86EOi64HvMrnDdgyDQ%2FpwkVBFFkPADyWpyfXYjclMAedz2iOWRLNuxGglJ4CbHfGs23VGYnCG1yGLIRdaGgA%3D&checksum=988fa60626bcbf203ab8111f97cf9e646c047689fe6d50f6a995ed407ca5009d&language=en&mid=7004091210025847554&preview_pb=0&region=TH&sec_user_id=MS4wLjABAAAAK7vZnk5YLELH6erulTW6KLahqCy1_Q1eLZBRSlE-QV32FLd3jdQOA0_6IOo4RrsY&share_app_id=1180&share_item_id=7004091252979322114&share_link_id=9ECEE1B7-49E5-4905-8A3F-8785F6FF4E44&source=h5_t&timestamp=1632205351&tt_from=copy&u_code=df3ekb71ki7m4a&user_id=6884667380674855937&utm_campaign=client_share&utm_medium=ios&utm_source=copy&_r=1           จากคลิปข้างบนก็จะเห็นว่าถึงเราจะเรียนคำว่า ありがとうございます (Arigatou gozaimasu) หรือคำขอบคุณในภาษาญี่ปุ่นจากในตำรา แต่ในชีวิตจริงก็อาจเป็นทางการมากเกินไป หรืออาจมีวิธีการพูดคำนี้ในหลาย ๆ แบบ ดังนั้นถ้าน้อง ๆ ได้เรียนรู้จากสื่อ ก็จะทำให้สามารถใช้ภาษานั้น ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงเจ้าของภาษาไปอีกเสต็ป           อีกทั้งถ้าน้อง ๆ เสพสื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น น้อง ๆ…
Read More
จดน้อย จำได้มาก เรียนดีขึ้นด้วยเทคนิค Mind mapping

จดน้อย จำได้มาก เรียนดีขึ้นด้วยเทคนิค Mind mapping

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค
  ช่วงนี้หลายๆคนคงเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาคกันแล้วใช่ไหมคะ หลายคนคงกังวลใจกับการสอบกันอยู่ การอ่านหนังสือกองพะเนิน จดโน้ตจนตาลาย คงทำให้เหนื่อยล้ากันน่าดู  วันนี้เราจึงมาแนะนำเทคนิคดีๆ ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ สู้ๆ! ตัวอย่าง Mind mapping สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ 10 Really Cool Mind Mapping Examples | MindMaps Unleashed   Mind mapping หรือแผนผังความคิด, แผนภาพ คือ เครื่องมือในการช่วยคิด และจดบันทึก ใช่เพื่อถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นแผนภาพ โดยมีหัวข้อหลักเป็นศูนย์กลาง แล้วแตกแขนงประเด็นเป็นหัวข้อย่อยออกมา เทคนิค Mind map เป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับ และนิยมอย่างกว้างขวาง แพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งอาจใช้ภาพ สี เส้น ต่างๆ เข้าช่วย <a href="<a href="https://www.freepik.com/vectors/idea">Idea vector created by stories - www.freepik.com Mind map  ดีอย่างไร   Mind map เป็นเทคนิคที่สอดคล้องกับการทำงานของสมองมนุษย์ เราจึงสามารถใช้ศักยภาพของสมองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ Mind map ช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกัน และเห็นภาพรวมได้มากขึ้น วิธีนี้นอกจากจะทำให้เราสามารถจดจำได้ข้อมูลง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาสมอง และทำให้เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆอีกด้วย ทำให้ความจำดีขึ้น   จากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ใช้เทคนิค Mind map สามารถจำข้อมูลได้มากขึ้นถึง 10 - 15% เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทดสอบความทรงจำระยะยาว เพิ่มความคิดสร้างสรรค์   ยังมีผลวิจัยอีกว่า เด็กที่ใช้เทคนิค Mind map มีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น เนื่องจาก Mind map  ทำให้เราสามารถคิดได้อย่างอิสระนั่นเอง  เราสามารถเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆได้อย่างอิสระต่างจากการเขียน Mind map ซึ่งในตอนสุดท้ายหากไอเดียวกว้างเกินไป เราอาจกลับมาจัดแผนภาพให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการได้ เชื่อมโยงประเด็นต่างๆได้ดียิ่งขึ้น   โดยส่วนใหญ่เทคนิคในการเขียนมักจะเป็นการจดจำโดยเขียนอธิบายความหมายของหัวข้อนั้นๆ เป็นเส้นตรง แต่เทคนิค Mind map นั้นทำให้เราสามารถจดจำในรูปแบบที่อิสระได้ แต่ก็ยังสามารถจดจ่อกับหัวข้อนั้นๆ ในขณะเดียวกันได้ เราจึงมองภาพรวมได้กว้าง และประติดประต่อข้อมูลไปยังประเด็นอื่นๆ ได้เรื่อยๆ โดยไม่ถูกปิดกั้นความคิด Mind map ให้อะไรมากกว่าการจดบันทึก   หลายคนมักจะใช้ Mind map ในการจดบันทึก แต่ความจริงแล้ว เราสามารถประยุกต์ใช้ Mind map ได้หลายทางเลย เราจึงจะมายกตัวอย่างให้ฟังกันค่ะ การระดมความคิด   ทุกคนเคยระดมความคิดเห็นกับเพื่อนๆ คนอื่น แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจบ้างไหมคะ นั่นอาจเป็นเพราะว่า เราพยายามคิดให้สอดคล้องกับคนอื่นนั่นเองค่ะ ซึ่งทำให้เราติดอยู่ในกรอบความคิดที่ใกล้เคียงกัน การนำเทคนิค Mind map เข้ามาช่วย…
Read More
จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!

จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!

Uncategorized, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, หนังสือ
จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง!? มาดูกัน!   น้องๆ สงสัยกันไหม จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงรึเปล่า จดโน้ตช่วยให้เรียนดีขึ้นยังไง วันนี้ Clearnote จะมาชี้แจ้งแถลงไขประโยชน์ของการจดโน้ตให้น้องๆ ได้รู้กันเอง! 1.ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่อง   การจดโน้ตช่วยให้น้องๆ ต้องตั้งใจฟังคุณครูโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าจะจดโน้ตก็ต้องทำความเข้า กลั่นกรอง สิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อจะจด เพราะน้องๆ คงไม่สามารถจดคำพูดทุกคำที่อาจารย์พูดได้ทัน และต่อให้จดทัน ก็มีงานวิจัยบอกว่าการที่น้องๆ ได้คิดวิเคราะห์เนื้อหาก่อนที่จะจดลงไป ไม่จดทุกคำพูดที่อาจารย์พูดนั้นให้ผลดีกว่า!    นอกจากนี้การจดโน้ตยังทำให้น้องๆ ไม่พลาดข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์สอนและอาจจำได้ไม่หมดถ้าไม่จดไว้ การจดโน้ตจึงทำให้เรียนรู้เรื่องมากกว่าการนั่งฟังครูอธิบายผ่านไปเฉยๆ มาก 2.ช่วยให้เรามาทวนทีหลังได้   การจดโน้ตไม่ได้มีประโยชน์แต่ตอนที่จดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กลับมาทวนเนื้อหาทีหลังได้โดยไม่ลืม การจดโน้ตจะทำให้น้องๆ กลับมาทวนเนื้อหาที่อาจารย์สอนเมื่อไรก็ได้ กี่รอบก็ได้ แถมทวนได้ง่ายกว่าด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือใหม่ทั้งเล่มตลอดเวลา   ที่สำคัญจากผลการวิจัย การจดโน้ตจะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการทวนซ้ำๆ ย้ำๆ หลายๆ รอบเท่านั้น น้องๆ จึงควรทบทวนโน้ตที่จดไว้ให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ไม่ใช่แค่จดแล้วเก็บเข้ากรุเฉยๆ!   นอกจากนี้งานวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า ไม่ใช่แค่การจดโน้ตเท่านั้น แต่การไฮไลท์ และการเขียนทวนสิ่งที่เคยเรียนแล้วอีกรอบ ก็จะช่วยให้น้องๆ คิด วิเคราะห์ และทำความเข้าใจสิ่งที่เราเรียนมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรทำทั้ง 3 อย่างเลย จะได้จำได้แม่น แถมเอามาใช้ได้จริง! 3.ช่วยให้เราจดจำเนื้อหาได้ดีกว่า   การจดโน้ตแบบที่ใช้ลูกศร รูปร่างรูปทรงต่างๆ ช่วย เช่น Mind maping ทำให้ให้สิ่งที่เราจด อยู่ใน long term memory (ความทรงจำระยะยาว) ได้ดีกว่า   การจดโน้ตต้องอาศัยความพยายามในการจด ไม่ใช่แค่ฟังหรืออ่านให้ผ่านไปเฉยๆ  นอกจากนี้การมีรูป มีลูกศร ในโน้ตยังช่วยแสดงความสัมพันธ์ แสดงคอนเซ็ปต์ของเนื้อหาให้อยู่ในลักษณะที่เป็นภาพ ทำให้สิ่งที่เราเรียนเข้าไปอยู่ในสมองทั้งในลักษณะคำศัพท์และรูป ช่วยให้น้องๆ ดึงสิ่งที่เรียนจากความทรงจำระยะยาวได้ดีกว่า ทำให้ไม่ลืมสิ่งที่เรียนไปง่ายๆ 4.ช่วยให้เราคิดเรื่องซับซ้อนได้มากขึ้น   การจดโน้ตช่วยแบ่งเบาภาระของ working memory (ความทรงจำเพื่อใช้งาน) ซึ่งเป็นความทรงจำระยะสั้นๆ ระยะเวลาหนึ่ง เช่น การจดจำที่อยู่ขณะที่คิดว่าจะไปที่นั่นได้ยังไงเป็นต้น    การจดโน้ตทำให้เราไม่ต้องจดจำสิ่งที่เรียนทั้งหมดทุกอย่างภายในคราวเดียว จึงช่วยแบ่งเบาภาระของ working memory ตรงนี้ จึงช่วยให้เราคิดเรื่องซับซ้อนขึ้นได้ดีกว่าเดิม เช่น แก้โจทย์เลขยากๆ ซับซ้อนๆ เพราะไม่ต้องแบกข้อมูลไว้ในสมองจำนวนมาก 5.ช่วยให้ชีวิตมีระเบียบมากขึ้น   การจดโน้ตไม่ใช่จำกัดแค่การจดโน้ตตอนเรียนเท่านั้น แต่การจดโน้ตสิ่งที่เราจะทำหรือ to-do list ยังช่วยให้น้องๆ ไม่ลืมสิ่งที่เราจะต้องทำ ไม่ลืมว่าต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง วางแผนชีวิตได้ มีชีวิตที่มีระเบียบมากขึ้นกว่าการไม่จดโน้ตอีกด้วยนะ    การจดโน้ตมีประโยชน์มากมายจริงๆ เพราะฉะนั้นตอนเรียนก็ไม่ควรฟังอาจารย์แบบผ่านๆ แต่ควรจะจดโน้ตสิ่งที่น้องๆ ได้เรียนไว้ด้วยนะ เพราะจะทำให้เก็บเกี่ยวความรู้ได้มากกว่ากันเยอะเลย!!! Reference Boch, F. & Piolat, A. (2005). Note Taking and Learning: A…
Read More