ออกกำลังกายช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงไหม!?

ออกกำลังกายช่วยให้เรียนดีขึ้นจริงไหม!?

กิจกรรม, ปิดเทอม, สุขภาพและความงาม
  สวัสดีจ้า น้องๆ ทุกคน กลับมาพบกับบล็อกของ Clearnote กันอีกแล้ว น้องๆ หลายคน (โดยเฉพาะน้องๆ ที่ใกล้สอบ) คงกำลังตั้งใจอ่านหนังสือกันอยู่ แต่อย่าลืมลุกขึ้นออกกำลังกายบ้างนะ เพราะออกกำลังกายก็ช่วยให้เรียนดีขึ้นด้วยเหมือนกัน! ประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อการเรียน ภาพโดย stine moe engelsrud จาก Pixabay 1.ช่วยให้ความจำดีขึ้น ภาพโดย athree23 จาก Pixabay   เมื่อออกกำลังกาย ร่างกายจะปล่อยโปรตีนออกมาในสมองมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น จดจำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น เพราะสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่ทำหน้าที่เก็บความทรงจำระยะยาวตอบสนองต่อโปรตีนได้ดี เมื่อมีโปรตีนมาก สมองส่วนนี้จึงทำงานได้ดีมากขึ้น 2.ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น ภาพโดย Homegrounds จาก Pixabay   การออกกำลังกายช่วยให้เลือดไหลเวียนสู่สมองได้มากขึ้น ทำให้มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น กระตุ้นระบบประสาท ทำให้เซลล์สมองเจริญเติบโต การออกกำลังกายก่อนเริ่มเรียนหรืออ่านหนังสือจึงช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น 3.ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ภาพโดย Gino Crescoli จาก Pixabay   การออกกำลังกายทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโรฟิน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกดี มีความสุข และรู้สึกเครียดน้อยลง ส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น 4.ช่วยให้มีแรงอ่านหนังสือมากขึ้น ภาพโดย Pexels จาก Pixabay   การออกกำลังกายช่วยให้มีหลอดเลือดและหัวใจ กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น เสริมสร้างมวลกระดูก ช่วยควบคุมน้ำหนัก ทำให้มีสุขภาพดีขึ้น ทำให้มีแรงที่ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเรียนหนังสือด้วย นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และมีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย 5.ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ภาพโดย Pexels จาก Pixabay   การออกกำลังกายช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น นอนหลับได้ลึกขึ้น ตื่นตอนดึกน้อยลง และตอนที่เรานอนหลับนี่เองที่เซลล์สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงและเชื่อมต่อเพื่อตอบสนองต่อการเรียนรู้ใหม่ๆ ดังนั้นยิ่งเรานอนหลับได้ดี นอนหลับได้นานสมองก็จะเกิดกระบวนการนี้ได้ดีและมากขึ้น วิดิโอออกกำลังกายง่ายๆ จากที่บ้าน 1. 9 ท่าออกกำลังกาย work (out) ได้ from home โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ https://www.youtube.com/watch?v=GFdGWgf-GTw 2.ออกกำลังกาย 30 นาที แบบไม่กระโดด ไม่มีท่าสวอท เสียงไม่ดัง Low Impact Workout | Booky HealthyWorld https://www.youtube.com/watch?v=jICh03FS6rU 3.6 ท่าออกกำลังกายสำหรับชาวออฟฟิศ ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม | Highlight RAMA Variety https://www.youtube.com/watch?v=3fu9t1Bdm74 References Connor, O.H. STUDY SKILLS: MAKING TIME FOR EXERCISE MIGHT HELP YOUR ACADEMIC PERFORMANCE. Retrieved from https://believeperform.com/study-skills-making-time-for-exercise-might-help-your-academic-performance/ Study-boosting…
Read More
รวมลิสต์ของกินแก้ง่วง ไว้กินตอนอ่านหนังสือ!

รวมลิสต์ของกินแก้ง่วง ไว้กินตอนอ่านหนังสือ!

Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, สอบเข้าม.ปลาย, สุขภาพและความงาม, หนังสือ, อาหารและเครื่องดื่ม
รวมลิสต์ของกินแก้ง่วง ไว้กินตอนอ่านหนังสือ!   สวัสดีจ้า น้องๆ ทุกคน บล็อก Clearnote สัปดาห์นี้มาในธีมของกิน! เพราะเราจะมาแนะนำของกินแก้ง่วงสำหรับน้องๆ ที่ต้องอ่านหนังสือกัน ว่ากินอะไรถึงจะตาสว่างไม่ง่วง พร้อมอ่านหนังสือกัน ของกินแก้ง่วงเวลาอ่านหนังสือ 1.กาแฟ ภาพโดย Nirut Phengjaiwong จาก Pixabay   น้องๆ คงรู้กันอยู่แล้วว่ากาแฟช่วยให้เราไม่ง่วงเพราะกาแฟมีคาเฟอีน แต่ทำไมคาเฟอีนถึงทำให้เราตื่นตัวล่ะ?   นั่นก็เพราะคาเฟอีนมีโครงสร้างคลายกับโมเลกุลอะดีโนซีน ซึ่งทำหน้าที่จับกับตัวรับสัญญาณในสมอง ส่งผลให้เราเกิดอาการง่วง (เป็นกระบวนการปกติของร่างกาย) ดังนั้นเมื่อเรารับคาเฟอีนเข้าไป คาเฟอีนจะไปจับกับตัวรับสัญญาณในสมองแทนโมเลกุลอะดีโนซีน พออะดีโนซีนไม่ได้จับกับตัวรับ ก็จะไม่เกิดอาการง่วงขึ้น ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวนั่นเอง   แต่การดื่มกาแฟในช่วงดึกดื่นเที่ยงคืนอาจทำให้เรานอนไม่หลับจนถึงเช้า ทำให้เราเกิดง่วงนอนหรือรู้สึกเหนื่อยในเช้าวันรุ่งขึ้นแทน ดังนั้นถ้าจะดื่มกาแฟแก้ง่วงก็แนะนำให้ดื่มในช่วงกลางวันแทน 2.ชาเขียว ภาพโดย chezbeate จาก Pixabay   ชาเขียวก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนที่ช่วยทำให้ตื่นเหมือนกัน แต่ชาเขียวยังมีสาร L-Theanine (แอล-ธีอะนีน) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งอีกด้วย สารนี้ช่วยให้จิตใจเราสงบ (แปลว่าเราจะมีสมาธิมากขึ้น) แต่ไม่ทำให้เราง่วง 3.ดาร์กช็อกโกแลต ภาพโดย Alexander Stein จาก Pixabay   ช็อกโกแลตก็มีคาเฟอีนกับเขาเหมือนกันนะ แต่น้อยกว่ากาแฟหรือชาเขียวประมาณ 50% (ขึ้นอยู่กับชนิดของช็อกโกแลตด้วย ถ้ามีนม มีส่วนผสมอื่น สัดส่วนของคาเฟอีนก็จะน้อยลง) ดังนั้นถ้าอยากให้ได้ผลจากสารในช็อกโกแลตจริงๆ ก็ขอแนะนำเป็นดาร์กช็อกโกแลตแบบนมน้อย น้ำตาลน้อยก็จะดีกว่า   นอกจากคาเฟอีนแล้วช็อกโกแลตยังมีกรดอะมิโนทริฟโตเฟนที่ช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย เพราะทริฟโตเฟนจะกระตุ้นให้สมองหลั่งเซโรโทนินและเอ็นโดรฟิน ฮอร์โมนที่ทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น   ดังนั้นถ้าใครไม่อยากกินชาหรือกาแฟตอนดึกเพราะกลัวคาเฟอีนเยอะเกิน ช็อกโกแลตก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีเลย 4.หมากฝรั่ง ภาพโดย Hans Braxmeier จาก Pixabay   หมากฝรั่งไม่ได้มีสารพิเศษอะไรที่ช่วยให้เราตื่นตัว รู้สึกไม่ง่วง สิ่งที่ทำให้เราไม่ง่วงจริงๆ คือการ "เคี้ยว" หมากฝรั่ง   การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในสมองอีกด้วย ดังนั้นการเคี้ยวหมากฝรั่งจึงทำให้เรารู้สึกตื่นตัวขึ้น ทำให้เราง่วงน้อยลง รู้สึกเหนื่อยน้อยลง มีสมาธิมากขึ้น ส่งผลทำให้เราอ่านหนังสือหรือทำงานได้ดีขึ้น 5.อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วเหลือง ภาพโดย Alexei_other จาก Pixabay   อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองทำงานได้ดี ตื่นตัว เรียนรู้ได้ดีขึ้น มีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย Reference Choi, J.E. (2021). 5 Snacks to Help You Focus. Retrieved from https://upchieve.org/blog/2021/5/24/5-snacks-to-help-you-focus Snacks That May Keep You Awake. (2021). Retrieved from https://www.sleep.org/snacks-that-keep-you-awake/ Stay Awake with these…
Read More
มาลองเช็คกันเถอะว่า เราเครียดอยู่รึเปล่านะ?

มาลองเช็คกันเถอะว่า เราเครียดอยู่รึเปล่านะ?

สุขภาพและความงาม
  สวัสดีจ้าน้องๆ ทุกคน   สำหรับน้องๆ ม.6 ที่กำลังจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนคงกำลังพยายามกันอย่างสุดความสามารถ ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจ เพื่อให้สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้   ในเวลาแบบนี้ทุกคนคงมีความเครียดไม่มากก็น้อย ความเครียดนิดหน่อยอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เราทำตามเป้าหมายได้ แต่ถ้าเครียดมากไปคงไม่ดีแน่...   วันนี้บล็อก Clearnote ของเราเลยจะมาชวนน้องๆ เช็คตัวเองกันเถอะ ว่าเราเริ่มจะเครียดเกินไปรึเปล่านะ ความเครียด คือ? ภาพโดย Jan Vašek จาก Pixabay   ความเครียดเป็นการตอบสนองของร่างกายและจิตใจเราต่อสถานการณ์หรือเรื่องต่างๆ ที่เราเจอในชีวิต   ความเครียดที่ไม่เยอะเกินไปช่วยให้เราปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เราเจอได้ เพราะความเครียดทำให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้เราหลีกหนีจากอันตรายที่อาจเจอได้อย่างทันท่วงที แต่ความเครียดที่มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เพราะอาจทำให้เราป่วย ไม่สบาย และไม่มีความสุขได้ อาการที่เกิดจากความเครียด 1.อาการทางร่างกาย ภาพโดย Robin Higgins จาก Pixabay   เมื่อเราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายจะทำงานต่างจากสถานการณ์ปกติ เพื่อช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อันตรายหรือตึงเครียด แต่ถ้าเราเครียดเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดอาการที่ไม่พึ่งประสงค์ต่อร่างกายได้   อาการทางร่างกายที่อาจเกิดจากความเครียด เช่น รู้สึกไม่มีแรง ปวดหัว คลื่นไส้ อยากอาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ วิตกกังวล ตัวสั่น เหงื่อออกตามมือและเท้า ปากแห้ง กลืนอะไรไม่ค่อยลง ระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง(อาจทำให้ป่วยบ่อย) ความต้องการทางเพศลดลง ผมร่วง (ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกอย่าง อาจเกิดอาการแค่บางอย่างก็ได้เช่นกัน) 2.อาการทางอารมณ์ ภาพโดย ErikaWittlieb จาก Pixabay   อาการทางด้านอารมณ์ เช่น รู้สึกฉุนเฉียว โกรธง่าย กังวล เหงา เศร้าง่าย อารมณ์แปรปรวนมากกว่าปกติ รู้สึกอารมณ์เอ่อล้น ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ และไม่สามารถทำให้อามณ์เหล่านี้ผ่อนคลายลง สงบจิตใจลงไม่ได้ง่ายๆ รู้สึกดิ่ง รู้สึกตัวเองไม่มีค่า รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี ดีไม่พอ ไม่อยากพบเจอผู้คน 3.อาการทางด้านความคิด ภาพโดย www_slon_pics จาก Pixabay   อาการทางด้านความคิด เช่น มีปัญหาเรื่องความจำ จำอะไรไม่ค่อยได้ ลืมง่าย ลืมบ่อย ไม่มีสมาธิ โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ไม่มีสมาธิเรียน ทำการบ้าน รู้สึกตัดสินใจได้ไม่ดีเท่ากับช่วงปกติ มองโลกในแง่ร้าย มองเห็นแต่เฉพาะด้านไม่ดี 4.อาการทางพฤติกรรม ภาพโดย Pexels จาก Pixabay   พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป อาจกินมากขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข หรือกัดเล็บ เป็นต้น   ในขณะที่น้องๆ กำลังพยายามเพื่อมุ่งไปยังเส้นทางข้างหน้า Clearnote ก็อยากให้น้องๆ ใส่ใจสุขภาพตัวเองด้วย ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจเลย เพราะเรายังต้องเดินไปตามเส้นทางข้างหน้าอย่างมีความสุขเนอะ^^   หากน้องๆ รู้สึกเครียด กังวลใจ เศร้า จนกระทั่งกระทบกับชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น…
Read More
ทำไมถึงไม่ควรโต้รุ่งอ่านหนังสือ?!

ทำไมถึงไม่ควรโต้รุ่งอ่านหนังสือ?!

Uncategorized, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, สุขภาพและความงาม, หนังสือ
  สวัสดีจ้า มาพบกันกับบล็อกจาก Clearnote กันอีกแล้ว~   น้องๆ หลายคนยังอยู่ในช่วงสอบปลายภาคหรือเพิ่งจะสอบปลายภาคเสร็จกันไป ช่วงนี้หลายๆ คนก็คงต้องอ่านหนังสือกันหนักมากๆ แบบหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นเท่าไร หรือบางคนก็อาจจะถึงขนาดโต้รุ่งกันเลยทีเดียว! (แอบเห็นในทวิตมานะ!)   แต่จริงๆ แล้วการโต้รุ่งอ่านหนังสือมันจะช่วยให้เราสอบได้คะแนนดีขึ้นจริงๆ หรอ?   ในระยะสั้นๆ อาจจะมีผลเสียแค่เหนื่อยๆ เท่านั้น แต่ในระยะยาวล่ะ? ร่างกายของเราจะ ok รึเปล่านะ?   วันนี้ Clearnote ของเราจะพาไปดูกันเลย! การนอนหลับสำคัญกับร่างกายอย่างไร?   การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์อย่างเราๆ การนอนหลับช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า เป็นเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆ และยังช่วยให้ฮอร์โมนต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงานของร่างกาย ทำงานได้อย่างเป็นปกติอีกด้วย เพื่อจะได้ตื่นมาใช้ชีวิตตอนกลางวันได้อย่างแข็งแรง แล้วการนอนหลับส่งผลต่อสมองยังไงบ้าง?   นอกจากนี้เวลาที่เรานอนหลับ ยังเป็นเวลาที่สมองกำจัดของเสียต่างๆ เช่น โปรตีนที่ไม่ต้องการออกไปจากสมอง (โปรตีนส่วนหนึ่งที่ถูกกำจัดออกไป ก็เป็นโปรตีนที่ทำให้สมองเสื่อม และเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ด้วย) เป็นช่วงเวลาที่สมองจัดการลบข้อมูลที่ไม่ต้องการ ข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ และยังเป็นช่วงเวลาที่สมองเปลี่ยนความทรงจำระยะสั้นเป็นความทรงจำระยะยาวอีกด้วย   นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์หรือระบบลิมบิก(Limbic system) จะมีการทำงานมากขึ้น ซึ่งการทำงานนี้จะช่วยให้เราตื่นมามีอารมณ์ปกติ ไม่หงุดหงิด   อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สมองจัดการ จัดระเบียบตัวเอง ให้พร้อมใช้การได้เต็มที่อีกครั้งในตอนที่เราตื่นนั่นเอง การโต้รุ่งอ่านหนังสือส่งผลยังไง   ถ้าเราโต้รุ่งอ่านหนังสือ ร่างกายและสมองของเราไม่สามารถทำงานการกระบวนการที่อธิบายไปได้บนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อร่างกายและสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผลกระทบในระยะสั้น   เริ่มจากความรู้สึกเหนื่อย ปวดเมื่อยและรู้สึกล้า เพราะกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่เหมือนกับตอนที่เราได้หลับเต็มตื่น   กับสมองยิ่งแล้วใหญ่เลย การโต้รุ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองมากๆ แถมสมองเป็นส่วนที่ควบคุมความคิด ความจำและอารมณ์ของเรา ถ้าเราไม่ได้นอนสมองก็จะไม่สามารถกำจัดโปรตีนส่วนเกินได้อย่างที่บอกไปข้างต้น ไม่สามารถจัดการ จัดระเบียบข้อมูลในสมองได้อย่างเต็มที่ สมองส่วนลิมบิกที่จัดการอารมณ์เองก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น ทำให้เรารู้สึกเครียดง่าย ไม่มีสมาธิจดจ่อ ไม่สามารถใช้ความคิด ความจำได้อย่างเต็มที่   สรุปก็คือ พอเราอดนอนไปสอบ (อย่างเช่นที่ผู้เขียนเองก็เคยทำ) เราก็จะไปสอบแบบสะโหล สะเหล อ่อนเพลีย รู้สึกเครียด รู้สึกกังวลกับการสอบมากกว่าปกติ นอกจากนี้ตอนทำข้อสอบก็ยังไม่สามารถ คิด วิเคราะห์แก้โจทย์ได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น   นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่บอกอย่างชัดเจนว่า การอดนอนอาจส่งผลให้เราจดจำข้อมูลผิดๆ ได้ น้องๆ ลองคิดดูนะ อุตสาห์อ่านมาทั้งคืน แต่สุดท้ายเพราะอดนอน เลยทำให้เราจำข้อมูลผิดๆ ไปตอบข้อสอบ เสียดายแย่เลย ผลกระทบในระยะยาว   ที่สำคัญไปกว่านั้น ในระยะยาว ถ้าเราโต้รุ่งบ่อยๆ ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูงจากความเครียด หัวใจวายเฉียบพลันเพราะสมองส่วนที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดทำงานผิดปกติ โรคอ้วนเพราะฮอร์โมนคอร์ติซอล(ฮอร์โมนที่ทำให้เครียด) ฮอร์โมนเกรลิน(ฮอร์โมนที่ทำให้หิว) หลั่งออกมามากขึ้น ทำให้อยากกินมากขึ้น เป็นต้น   นอกจากนี้ ในด้านของจิตใจ การโต้รุ่งในระยะยาว ยังอาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลอีกด้วย เพราะเมื่อเรานอนไม่พอ ฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยให้เรามีอารมณ์ดี ปกติสุข จะหลั่งออกมาน้อย   สรุปแล้วการโต้รุ่งอดนอนอ่านหนังสือ น่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะนอกจากจะทำให้เราไม่สามารถตื่นไปทำข้อสอบได้อย่างเต็มที่แล้ว ในระยะยาวยังอาจทำให้เราเจ็บป่วยได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ถึงจะยาก แต่…
Read More
เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

เรียนทีไรง่วงตลอดเลย 6 วิธีแก้ง่วง

9วิชาสามัญ, GAT/PAT, O-NET, TCAS, Uncategorized, รีวิว, สอบกลางภาค, สอบปลายภาค, สุขภาพและความงาม, แอป Clearnote
  พอเปิดหนังสือเรียนทีไรก็ง่วงตลอดเลย จะสอบแล้วแท้ๆ อุตส่าห์พยายามอ่านหนังสือ แต่หนังตาก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เคยประสบปัญหานี้กันไหมคะ?  วันนี้ Clearnote มีวิธีดีๆ ในการรับมือกับความง่วงมาแบ่งปันกันค่ะ ไปดูกันเลยย 1.งีบสักนิดก่อนเรียน   อาการง่วงระหว่างเรียน ส่วนใหญ่แล้วมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอ เผลอดูซีรี่ย์นานไปนิด รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากเสียแล้ว ในกรณีแบบนี้ การงีบเอาแรงสักนิดจะดีกว่าค่ะ การงีบจะทำให้สมองเราปลอดโปร่งขึ้น การเรียนก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ แต่อย่างไรตาม อยากให้ระวังเรื่องเวลากันไว้สักหน่อยนะคะ เพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ หากงีบนานเกินไปอาจจะง่วงกว่าเดิมเอาได้นะคะ 2. ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนดู   หากอ่านวิชาเดิมซ้ำไปมา สมองจะอ่อนล้าและหัวไม่แล่นเป็นที่แน่นอน ทำให้เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนตามมา ลองเปลี่ยนเนื้อหาที่เรียนเช่น อ่านเนื้อหาที่เน้นความจำ (อังกฤษ, ไทย, สังคม เป็นต้น) จากนั้นผลัดมาทบทวนวิชาคำนวณ (คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น) ช่วยให้ง่วงน้อยลงได้ค่ะ 3. ล้างหน้า แปรงฟันเพิ่มความสดชื่น   ถ้าเริ่มรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วว ตาจะปิดแล้ว น้ำเย็นสดชื่อนอาจช่วยได้ค่ะ ลองลุกไปล้างหน้าดู ช่วยให้รู้สึกสดชื่น และหายง่วงขึ้นได้ค่ะ หรืออาจจะแปรงฟันด้วยหากมีเวลา เป็นวิธีที่ให้ผลดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ 4. เปลี่ยนที่เรียน   บางทีการเรียนในห้องตนเองอาจทำให้ตั้งสมาธิได้ยากขึ้น เพราะว่ามีสิ่งเร้าที่จะทำให้เราวอกแวกได้ง่ายนั่นเอง ลองย้ายไปเรียนในที่ ที่เหมาะสมกับการเรียนมากขึ้น จะช่วยให้เรามีสมาธิจดจ่อมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าตรงนั้นเป็นที่สำหรับเรียน เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วเราจะต้องเรียนนั่นเอง 5. ยืดเส้นยืดสาย   การนั่งเรียนเป็นเวลานานไป กล้ามเนื้อของเราก็ตึงตามไปด้วย ส่งผลให้เราง่วงขึ้นไปด้วยค่ะ เราอาจพักระหว่างเรียนมายืดเส้นยืดสายกันซักนิด ให้เลือดได้ไหลเวียน อาจเดินไปเดินมาในห้อง หรือยืดหลังง่ายๆ เป็นต้น ทำให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้นค่ะ 6. พูดคุย หรือถามคำถาม   การเรียนเงียบๆ คนเดียว ทำให้เกิดอาการง่วงได้ง่ายใช่ไหมล่ะคะ ลองหาเพื่อนเรียนด้วยกัน ทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไปด้วยกัน หรือหากมีอาจารย์อยู่ด้วย ก็ลองถามคำถามดูบ้าง การได้ส่งเสียงออกมาทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นค่ะ ไม่ง่วงแน่นอนน   วิธีเหล่านี้น่าจะทำให้ทุกคนหายง่วงระหว่างเรียนกันได้นะคะ แต่อย่างไรก็ตาม การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เมื่อร่างกายเราแข็งแรงพร้อมต่อการเรียน การเรียนรู้ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ Clearnote เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ Reference ข้อมูลจาก https://www.eikoh-seminar.com/koukoujuken/column/p7184/
Read More
3 เมคอัพยอดฮิต สำหรับสาว ๆ มัธยม

3 เมคอัพยอดฮิต สำหรับสาว ๆ มัธยม

สุขภาพและความงาม, แบบสอบถาม ออนไลน์
สวัสดีค่ะ หลังจากในบทความที่แล้วเราได้พาทุกคนไปสำรวจกันว่า สาว ๆ มัธยมนิยมใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบไหนกันบ้างแล้วนะคะ สำหรับในบทความนี้เองนะคะก็ยังไม่พ้นในเรื่องของความสวยความงามค่ะเพราะในบทความนี้เราจะพาคนไปดูกันเขาว่าจากการทำแบบสอบถามออนไลน์ในหมู่ผู้ใช้ Clear ทุก ๆ คนมีไอเทมเมคอัพสำหรับแต่งหน้ายังไงกันบ้าง แล้วแต่ละคนมีลักษณะในการเลือกเครื่องสำอางอย่างไรกันบ้างไปดูกันเลยค่ะ ความสนใจในการแต่งหน้าของสาว ๆ โดยหลังจากที่เราได้ปล่อยชุดแบบสอบถามออนไลน์เกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางในมือน้อง ๆ มัธยมก็พบว่ากว่าร้อยละ 70 มีความสนใจในเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนะคะเพราะว่า เชื่อว่าการแต่งหน้านั้นเป็นการลงทุนระยะยาวค่ะ! ใครที่เรียนรู้ศาสตร์นี้ได้ก่อนก็จะยิ่งได้เปรียบกว่าเพื่อน ๆ นะคะ ฮ่า ๆ   เริ่มแต่งหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? ซึ่งจริง ๆ แล้วก็จะนำเรามาสู่แบบสอบถามออนไลน์ในข้อถัดมาที่มีข้อมูลระบุว่าน้อง ๆ มากกว่า 27% เริ่ม ใช้เครื่องสำอางตั้งแต่อยู่ชั้นระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และจากนั้นก็เริ่มใช้ในระดับชั้นมัธยมที่ 3 และระดับชั้นมัธยมปีที่ 2 ลดหลั่นกันไปตามลำดับค่ะ ซึ่งรวมรวมแล้วเราก็จะเห็นว่ามากกว่าครึ่งของสาวมัธยมเลือกที่จะใช้เมคอัพการตั้งแต่อยู่ในระดับชั้นมัธยมต้นนัดกันเลยนะคะเนี่ย ปัญหาผิวของสาว ๆ มีอะไรกันบ้าง ทีนี้เราไปดูกันเขาว่าปัญหาผิวส่วนใหญ่ที่สาว ๆ มีความกังวลจะเป็นเรื่องอะไรบ้างโดยจากผลของแบบสำรวจออนไลน์ที่เราได้มาแทบจะไม่น่าตกใจเลยนะคะเพราะว่ากว่า 80% มีความกังวลใจในเรื่องปัญหา "สิว" ค่ะ จากนั้นปัญหาที่รองลงมาก็จะเป็นเรื่องผิวมัน และขอบตาคล้ำค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นปัญหาปกติที่พบได้ในสภาพผิวของสาว ๆ ที่เริ่มมีฮอร์โมนกันนะคะ เพราะเรื่องหน้ามันเนี่ยก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฮอร์โมนจริง ๆ และนอกจากนี้ปัญหาเรื่องขอบตาดำก็สามารถพบเจอได้ทั่วไปในหมู่ผู้ที่พักผ่อนน้อยหรืออ่านหนังสือหนัก ๆ ด้วยค่ะ เรียกได้ว่าต้องเห็นใจน้อง ๆ  ชั้นมัธยมเหมือนกันนะคะเนี่ยนอกจากจะมีเรื่องกลุ้มใจในด้านการเรียนแล้วยังต้องแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพผิวกันอีกด้วยค่ะ 3 ไอเทมลับ ฉบับสาวมัธยม!? ทีนี้เราก็จะมาเข้าสู่ช่วงไฮต์ไลต์ของบทความเหมือนกันแล้วนะคะซึ่งก็คือ การจัดลำดับ 3 ไอเทมสำหรับ สาว ๆ ชั้นมัธยมในการเลือก เมคอัพสำหรับการแต่งหน้าไปโรงเรียนแล้วค่ะขอบอกก่อนเลยนะคะว่า จริง ๆ แล้วน้องเนี่ยค่อนข้างจะมีไอเทมที่แตกต่างและหลากหลายกันออกไปขึ้นอยู่กับจำนวนงบประมาณและความชอบของแต่ละคนนะคะแต่ที่เราคัดเลือกกันมาใน 3 ลำดับเครื่องสำอางกันในวันนี้ก็จะเป็นแบรนด์ที่มีน้องแนะนำกันเข้ามาบ่อย ๆ ค่ะ และสำหรับ 3 เมคอัพที่ได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ ชั้นมัธยมก็จะมีดังนี้เลยนะคะ ชื่อสินค้า sis2sis Lip & Cheek Creamy Tint รายละเอียด ทินท์สำหรับแก้มและริมฝีปากในรูปแบบซอง จากซิสทูซิส เนื้อครีม สัมผัสนุ่ม ไม่หนักริมฝีปาก สีสันติดทนนาน มอบความสดใสเป็นธรรมชาติ สะดวกต่อการพกพา ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ ชื่อสินค้า Glow Tint Lip Balm รายละเอียด ลิปบาล์มให้ความชุ่มชื่นและสีสันสดใสแก่ริมฝีปาก ลิปบาล์มเนื้อนุ่มให้ความชุ่มชื่นแก่ริมฝีปากตลอดทั้งวัน ให้สีสันสดใสและสวยงาม ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ ชื่อสินค้า ทรานส์ลูเซนท์ พาวเดอร์ รายละเอียด แป้งฝุ่นโปร่งแสงเนื้อละเอียดและบางเบา ด้วยความโปร่งแสงของเนื้อแป้ง ทำให้ใช้ได้กับทุกโทนสีผิว ช่วยเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัวและไม่ทำให้สีรองพื้นเปลี่ยน ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ งบเมคอัพต่อเดือน ทีนี้พอเราได้ไม่เห็นกันแล้วว่าไอเทมหลายอย่างล้วนมีราคาที่จับต้องได้สำหรับสาว…
Read More
พาชม!! เทรนด์การดูแลผิว และปัญหาสุขภาพผิวยอดฮิตในหมู่นักเรียน

พาชม!! เทรนด์การดูแลผิว และปัญหาสุขภาพผิวยอดฮิตในหมู่นักเรียน

สุขภาพและความงาม, แบบสอบถาม ออนไลน์
สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่เราพาไปเจาะลึกกันเรื่อง เรียนต่อต่างประเทศ กันในบทความที่แล้ว ในบทความนี้นะคะ เราจะกลับมาพบกันใหม่กับบทความที่เกี่ยวเนื่องกับผลสำรวจออนไลน์เรื่องความสนใจในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ในหมู่ผู้ใช้ Clear กันนะคะสำหรับในบทความนี้จะเป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับการ ดูแลผิวพรรณและ ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ยอดนิยมที่เหล่าสาวมัธยมให้ความไว้วางใจกันนะคะ ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ดังกล่าวจะเป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวเราจะพากันไปดูในบทความนี้กันเลยค่ะ ความสนใจในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ แต่ก่อนอื่นเราขอบอกก่อนเลยนะคะว่าสำหรับผู้ใช้งานแอป Clear เนี้ย กว่า 90% เป็นผู้ที่สนใจในการใช้สกินแคร์ค่ะซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะมาก ๆ แต่ก็ไม่แน่แปลกใจเลยนะคะเพราะว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ในแอปของเราก็ล้วนเป็นสาว ๆ วัยมัธยมกันทั้งนั้นจะมีความสนใจในเรื่องผลิตภัณฑ์สกินแคร์บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรค่ะ เพื่อน ๆ เริ่มใช้สกินแคร์กันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แต่ผลลัพธ์ที่น่าตกใจอีกอย่างนึงเลยก็คือน้อง ๆ กว่า 50 เปอร์เซ็นต์เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์การตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมที่ 1 ค่ะซึ่งก็คือเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์กันตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนมัธยมเลยนะคะเนี่ย และจากนั้นก็เริ่มใช้ในระดับชั้นมัธยมที่ 2 และ 3 ลดหลั่นกันมาตามลำดับเลยนะคะ จากข้อมูลดังกล่าวเนี่ยเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาเลยที่สาว ๆ วัยแรกรุ่นนั้นจะเริ่มดูแลสุขภาพผิวกันค่ะ ปัญหาเรื่องผิวที่ต้องพึ่งสกินแคร์!? ทีนี้เราไปดูกันเขาว่าปัญหาผิวส่วนใหญ่ที่สาว ๆ มีความกังวลจะเป็นเรื่องอะไรบ้างโดยจากผลของแบบสำรวจออนไลน์ที่เราได้มาแทบจะไม่น่าตกใจเลยนะคะเพราะว่ากว่า 80% มีความกังวลใจในเรื่องปัญหา "สิว" ค่ะ จากนั้นปัญหาที่รองลงมา ก็จะเป็นเรื่องผิวมัน และขอบตาคล้ำค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นปัญหาปกติที่พบได้ในสภาพผิวของสาว ๆ ที่เริ่มมีฮอร์โมนกันนะคะ เพราะเรื่องหน้ามันเนี่ยก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฮอร์โมนจริง ๆ และนอกจากนี้ปัญหาเรื่องขอบตาดำก็สามารถพบเจอได้ทั่วไปในหมู่ผู้ที่พักผ่อนน้อยหรืออ่านหนังสือหนัก ๆ ด้วยค่ะ ไอเทมสกินแคร์สุดฮอตสำหรับสาว ๆ !! และแน่นอนว่าในการที่น้อง ๆ จะกำจัดเจ้าสิวตัวร้ายและความมันออกไปจากบนใบหน้า น้อง ๆ ก็จะต้องมีตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดใบหน้าใช่ไหมล่ะคะในการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในการดูแลศูนย์หน้าของน้อง ๆ ก็พบว่าส่วนมากจะให้ความสำคัญเรื่องผลิตภัณฑ์ล้างหน้าค่ะ โดยผลิตภัณฑ์สกินแคร์ 3 ชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่น Clear ของเรานะคะก็จะมีดังนี้เลยค่ะ ชื่อสินค้า Smooth E Babyface Gel รายละเอียด เจลไม่มีฟอง สำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย และเป็นสิวง่ายอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ ชื่อสินค้า Innisfree Bija Trouble Facial Foam รายละเอียด สะอาด ไร้สิว กับคลีนซิ่งโฟมบีจาเนื้อเนียนนุ่ม จากอินนิสฟรี ช่วยทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างหมดจด และปลอบประโลมผิวสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ ชื่อสินค้า Multi Deep-Clean Cleanser รายละเอียด คลีนเซอร์ที่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก ด้วยประสิทธิภาพของส่วนประกอบสำคัญ อาทิ เอนไซน์ปาเปน สารสกัดจากผลบลูเบอร์รี่ ช่วยทำความสะอาดเมกอัพ ครีมกันแดด และมลภาวะที่เกาะติดผิว เผยผิวสะอาด กระจ่างใส อย่างมีสุขภาพดี ซื้อทางออนไลน์ได้ ที่นี่ งบสำหรับสกินแคร์ต่อเดือน และเมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์ หลาย ๆ คนก็อาจจะคิดว่า อย่างนี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็นประจำแน่…
Read More